5 ที่เที่ยวทัวร์คุมาโมโตะ และการเตรียมตัวก่อนเดินทาง
คุมาโมโตะ (Kumamoto) เป็นเมืองที่มีปราสาทงามและธรรมชาติสวยในภูมิภาคคิวชูของญี่ปุ่น เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสเสน่ห์ของญี่ปุ่นในมุมที่เงียบสงบและอบอุ่น ทัวร์คุมาโมโตะจะพาคุณไปชมปราสาทคุมาโมโตะอันยิ่งใหญ่ สัมผัสความน่ารักของ “คุมะมง” มาสคอตประจำจังหวัด ตื่นตาตื่นใจกับวิวภูเขาไฟอะโสะที่กว้างใหญ่ และเพลิดเพลินกับออนเซ็นธรรมชาติอันเลื่องชื่อ นี่คือการเดินทางที่จะเติมเต็มทั้งความสุขและความประทับใจในทุกย่างก้าวของคุณในญี่ปุ่นตะวันตกเฉียงใต้ทัวร์คุมาโมโตะ
1. ที่เที่ยวทัวร์คุมาโมโตะ
1.1. ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle)
ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle) เป็นหนึ่งในสามปราสาทที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่น มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 980,000 ตารางเมตร ด้วยสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่และมีอายุที่ยาวนานกว่า 400 ปี แม้จะได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในปี 2016 แต่ก็ได้รับการบูรณะอย่างพิถีพิถันทำให้ตัวปราสาทกลับมายืนสง่างามอีกครั้ง ไฮไลต์คือหอคอยหลัก (Tenshukaku) ที่สามารถชมวิวเมืองจากมุมสูงได้ พร้อมการจัดแสดงภายในที่เล่าขานเรื่องราวของซามูไรยุคก่อน บรรยากาศรอบปราสาทยังเต็มไปด้วยต้นซากุระและสวนสวย เหมาะแก่การเดินเล่นและถ่ายรูป รีวิวโดยรวมคือ "งดงาม มีพลัง และเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณประวัติศาสตร์" ใครมาเยือนคุมาโมโตะไม่ควรพลาด

1.2. ย่านชิโมโทริ (Shimotori Shopping Arcade)
ย่านช้อปปิ้งยอดนิยมที่ตั้งอยู่ในที่ร่มใจกลางเมืองคุมาโมโตะที่แบ่งออกเป็นถนน 3 เส้น ได้แก่ ถนนมิโทริ ถนนซึโมโทริ และถนนวันชินซึไก มีหลังคาโค้งปิดคลุมตลอดแนว และแต่ละถนนจะเชื่อมถึงกัน สามารถเดินเลือกซื้อของได้อย่างสะดวก ตลอดข้างทางก็จะเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านเสื้อผ้า ร้านอาหารคาวหวาน ร้านคาเฟ่ และร้านขายของฝากมากมาย ทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ญี่ปุ่นชื่อดัง บรรยากาศในย่านนี้คึกคักตลอดวัน เหมาะสำหรับทั้งสายช้อป สายกิน และสายเดินเล่น โดยเฉพาะช่วงเย็นที่ร้านอาหารจะเริ่มคึกคัก ใครอยากลิ้มลองอาหารท้องถิ่นของคุมาโมโตะ เช่น หมูคุมาโมโตะ, ราเม็ง หรือซาชิมิเนื้อม้า ก็หากินได้ง่ายในย่านนี้เลย
1.3. ภูเขาอะโสะ (Mount Aso)
ภูเขาอะโสะ (Mount Aso) เป็นภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ยังคุกรุ่นอยู่และมีปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ไฮไลต์สำคัญคือ ปล่องภูเขาไฟนากาดาเกะ (Nakadake Crater) ซึ่งบางวันสามารถเข้าไปชมได้ใกล้ ๆ หากสภาพอากาศและระดับก๊าซปลอดภัย บริเวณรอบๆ ภูเขาอะโสะยังเต็มไปด้วยทุ่งหญ้ากว้างเขียวขจีอย่าง Kusasenri ที่สามารถขี่ม้าหรือเดินชมวิวได้แบบสบาย ๆ นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์, ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว และออนเซ็นให้พักผ่อนหลังจากชมธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม

1.4. สวนซุยเซนจิ (Suizenji Jojuen Garden)
1.5. ศาลเจ้าคุมาโมโตะอินาริ (Kumamoto Inari Shrine)
2. การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น จะแนะนำทั้งหมด 7 เรื่องหลักๆ ดังนี้
2.1. เช็คสภาพอากาศ
การเช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้วางแผนการท่องเที่ยวได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้จัดเตรียมเสื้อผ้าต่างๆ ได้เหมาะสมกับสภาพอากาศอีกด้วย โดยเว็บไซต์ที่นิยมใช้กันนั่นก็คือ accuweather.com สามารถค้นหาเมืองที่ต้องการเช็คและเลือกช่วงเดือนได้เลย
2.2. การใช้เงิน
ที่ประเทศญี่ปุ่นรองรับการชำระเงินหายรูปแบบ โดยจะมีคำแนะนำทั้งหมด 3 แบบ ดังนี้
2.2.1. บัตรเงินสด
ในปัจจุบันร้านค้าส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นยอมรับการชำระเงินแบบไร้เงินสดมากขึ้น สามารถใช้บัตรเงินสดในการชำระซื้อสินค้าต่างๆ ได้ การใช้บัตรเงินสดในญี่ปุ่นถือเป็นอีกทางเลือกที่สะดวกและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ที่ไม่อยากพกเงินสดเยอะๆ หรือกังวลเรื่องความปลอดภัย บัตรเงินสดก็ถือเป็นทางเลือกที่แนะนำเลย โดยบัตรเงินสดที่นิยมใช้งานกันก็คือ บัตร YouTrip ของธนาคารกสิกรไทย สามารถสมัครได้ผ่านทางแอปของธนาคาร ใช้เวลาในการรอรับบัตรประมาณ 7 วัน หากต้องการใช้งานเพียงแค่เติมเงินบาทเข้าในแอป ตอนใช้บัตรรูดซื้อของ ระบบก็จะแลกเงินเป็นเงินเยนให้อัตโนมัติโดยจะได้อัตราแลกเปลี่ยนในวันนั้นๆ และไม่เสียค่าธรรมเนียมแลกเงิน 2.5% อีกด้วย

2.2.2. เงินสด
ถึงแม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะมีการพัฒนาที่สามารถรับชำระได้ด้วยบัตรเงินสดแล้ว แต่ตามร้านค้าเล็กๆ บางร้าน วัด หรือศาลเจ้า ยังคงรับเฉพาะเงินสดอยู่ ดังนั้นการแลกเงินก็ยังคงจำเป็นอยู่เช่นกัน โดยประเทศญี่ปุ่นใช้เงินสกุลเยน 1 เยน มีค่าประมาณ 0.23 บาท อย่างไรก็ตามควรเช็คเรทอัตราแลกเปลี่ยนอีกครั้ง โดยจะแนะนำให้แลกที่ Superrich จะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกที่สุด แต่สำหรับใครที่ไม่สะดวกแลกเงินที่นี่ ก็สามารถแลกกับธนาคารได้เช่นกัน จะแนะนำให้แลกเงินสดติดตัวไปประมาณ 3,000 - 5,000 บาท
2.2.3. บัตรเครดิต
ตามห้างสรรพสินค้า โรงแรม และร้านค้าขนาดใหญ่ส่วนมากก็จะรับบัตรเครดิต บัตรเครดิตที่สามารถใช้ชำระเงินได้ ได้แก่ Visa, Mastercard, JCB แต่อย่างไรก็ตามควรที่จะตรวจเช็คสัญลักษณ์ก่อนใช้งานว่าร้านนั้นๆ รับบัตรเครดิตหรือไม่ และควรพกบัตรเผื่อไว้มากกว่าหนึ่งใบในกรณีที่ระบบมีปัญหา
2.3. การเล่นอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตเป็นลิ่งที่จำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน โดยเมื่อเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นจะแนะนำการเล่นอินเทอร์เน็ตทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่
2.3.1. สมัครแพ็กเกจโรมมิ่ง
การเปิดโรมมิ่งเล่นเน็ตเมื่อเดินทางไปญี่ปุ่นเป็นทางเลือกที่สะดวกสำหรับคนที่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ตทันทีที่ถึง โดยไม่ต้องเปลี่ยนซิมหรือหาจุด Wi-Fi สาธารณะ โดยสามารถสมัครผ่านแอปเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันได้เลย หรือจะติดต่อที่เคาน์เตอร์เครือข่ายที่ใช้บริการได้เช่นกัน เจ้าหน้าที่จะช่วยสมัครแพ็กเกจโรมมิ่งและกำหนดช่วงวันที่เริ่มใช้งานให้ โดยการสมัครแพ็กเกจโรมมิ่งจะมีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้
ข้อดี | - ไม่ต้องเปลี่ยนซิมใหม่ให้ยุ่งยาก - สามารถใช้เบอร์เดิมในการโทรเข้าและโทรออก หรือเล่นอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเบอร์ |
ข้อเสีย | - หากมีการรับสายหรือโทรออก อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากแพ็กเกจที่สมัครใช้งาน |
2.3.2. ซิมเล่นอินเทอร์เน็ต
อีกหนึ่งวิธีการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ประเทศญี่ปุ่นนั่นก็คือ การซื้อซิมเล่นอินเทอร์เน็ตต่างประเทศ โดยวิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่เกิดปัญหาการรับสายที่โทรมาจากประเทศไทย หรือกลัวค่าโทรศัพท์ที่มีเพิ่มเติม การซื้อซิมเล่นอินเทอร์เน็ตถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการใช้งานที่อยากแนะนำเลย โดยจะแนะนำเป็นซิม Sim2Fly ของ AIS สามารถติดต่อกับศูนย์บริการสาขาใกล้บ้านได้เลย ทางเจ้าหน้าที่จะช่วยลงทะเบียนซิมและเปิดใช้งานซิมในช่วงวันที่เดินทางให้
ข้อดี | - สามารถเลือกใช้แพ็กเกจได้ตามความต้องการ และมีหลายราคาให้เลือก - สามารถใช้งานได้ทุกประเทศ |
ข้อเสีย | - จะต้องมีการเปลี่ยนซิมใหม่ จึงควรระมัดระวังในการเก็บซิมที่เปลี่ยน เพราะอาจมีการสูญหายได้ - เบอร์ที่ใช้จะเป็นเบอร์ใหม่ตามซิมที่เปลี่ยน |
2.4. ปลั๊กไฟ
ที่ญี่ปุ่นจะใช้ปลั๊กไฟแบบขาแบนสองขา 110 โวลต์ ซึ่งแรงดันไฟต่ำกว่าประเทศไทย และตามโรงแรมก็จะมีการทำปลั๊กไฟให้มีช่อง USB ที่สามารถเสียบชาร์จไฟได้ด้วย หากมีอุปกรณ์ที่เป็นปลั๊กกลมหรือแบบอื่นๆ จะแนะนำให้เตรียมหัวแปลงปลั๊ก Universal Adaptor ไปเผื่อด้วย โดยสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า หรือที่ร้าน MR.DIY ก็มีขายเช่นกัน

2.5. เอกสารที่ใช้ในการเดินทาง
เอกสารที่ใช้ในการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นจะใช้เพียงพาสปอร์ตที่มีอายุคงเหลือ 6 เดือนขึ้นไปนับจากวันเดินทางกลับ ไม่ต้องลงทะเบียน Visit Japan ให้ยุ่งยากแล้ว และจะมีเอกสารเพิ่มเติมเป็นใบตม.และใบศุลกากร หากเดินทางด้วยตนเองสามารถขอได้จากเจ้าหน้าที่สายการบินหรือกรอกข้อมูลที่บริเวณหน้าตม.ได้เลย แต่สำหรับใครที่เดินทางกับบริษัททัวร์ ทางบริษัททัวร์จะเป็นผู้เตรียมเอกสารและกรอกข้อมูลให้ ลูกค้าสามารถเซ็นลายเซ็นที่ตรงตามหน้าพาสปอร์ตได้เลย สะดวกสุดๆ
2.6. การสื่อสาร
เมื่อเดินทางไปยังต่างประเทศ สิ่งที่มีความจำเป็นอีกเรื่องนั่นก็คือการสื่อสาร เพราะว่าในแต่ละประเทศก็จะมีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารที่แตกต่างกันไป และคนญี่ปุ่นจะสื่อสารกันด้วยภาษาญี่ปุ่น ไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกันมากนัก นอกจากนี้ตามป้ายต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาษาญี่ปุ่น ดังนั้นแอปแปลภาษาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยจะแนะนำเป็นแอป Google Translate เลย ใช้งานสะดวกและรวดเร็ว สามารถถ่ายรูปป้ายต่างๆ หรือสิ่งของต่างๆ เพื่อแปลเป็นภาษาไทยได้ หรือจะใช้แปลจากภาษาไทยเป็นภาษาญี่ปุ่น เพื่อใช้ในการสื่อสารกับร้านอาหาร ร้านค้า หรือคนญี่ปุ่นได้เลย
2.7. แอปดูเส้นทาง
ไม่ว่าจะเป็นการไปเที่ยวญี่ปุ่นกับบริษัททัวร์หรือเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเอง แอปที่ใช้ดูเส้นทางก็เป็นอีกสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเช่นกัน โดยสามารถใช้งานแอป Google Map เพื่อดูเส้นทางในญี่ปุ่นได้เลย จะมีรายละเอียดต่างๆ ระบุไว้อย่างชัดเจน ทั้งระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปยังอีกสถานที่ในแต่ละยานพาหนะ ระยะห่างของแต่ละสถานที่ ไปจนถึงสถานีรถไฟอยู่ทางไหนของพื้นที่ใกล้เคียง จึงเป็นอีกแอปที่ควรโหลดติดเครื่องไว้เมื่อไปเที่ยวต่างประเทศเลย
สรุป
โกเบ เป็นเมืองที่จะให้ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชมวิวธรรมชาติของภูเขาร็อคโกะ ชมความน่ารักของสัตว์ที่สวนสัตว์โกเบ แอนิมอล คิงดอมอย่างใกล้ชิด เช็คอินย่านโกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์ริมอ่าวโกเบอันงดงาม หรือจะไหว้พระขอพรที่ศาลเจ้าชื่อดัง ที่เมืองโกเบก็สามารถมอบประสบการณ์ให้ได้ทุกรูปแบบ ทัวร์โกเบจึงเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยเลย หากสนใจสอบถามโปรแกรมทัวร์โกเบเพิ่มเติม สามารถแอดไลน์ LINE ID : @lovelysmiletour ได้เลย