ตัวกรอง

เส้นทาง

ทัวร์อิตาลี

10 ที่เที่ยวทัวร์อิตาลี อัปเดตล่าสุด

อิตาลี เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของทั่วโลก ที่มีการผสมผสานความงดงามของประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม และธรรมชาติเอาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโรมโบราณ เวนิสสุดโรเเมนติก หรือท่าเรือตรอนเคตโต้ ทุกเมืองล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ 10 สถานที่ท่องเที่ยวทัวร์อิตาลี ที่นักท่องเที่ยวต้องไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง

1. พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museum)

พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museum) ตั้งอยู่ภายในนครรัฐวาติกัน เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ได้รวบรวมผลงานศิลปะและวัตถุโบราณสำคัญที่สุดของโลกไว้ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ภายในพิพิธภัณฑ์มีห้องจัดแสดงมากกว่า 50 ห้อง รวมถึงแกลเลอรี่ยาวนับกิโลเมตร โดยไฮไลต์สำคัญคือ ห้องโถงซีสทีน (Sistine Chapel) ที่มีภาพวาดฝาผนังและเพดานอันเลื่องชื่อของ ไมเคิลแองเจโล ซึ่งหลายคนยกให้เป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะยุคเรอเนสซองส์ นอกจากนี้ยังมี ห้องราฟาเอล (Raphael Rooms) ที่ตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ประณีตของศิลปินชื่อเดียวกัน

ภาพวาดฝาผนังที่พิพิธภัณฑ์วาติกัน ทัวร์อิตาลี
ภาพวาดฝาผนังพิพิธภัณฑ์วาติกัน ทัวร์อิตาลี Credit : www.lonelyplanet.com

2. มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Basilica)

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ตั้งอยู่ในใจกลางนครรัฐวาติกัน ถือเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่สุดของศาสนาคริสต์ และเป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ภายนอกโดดเด่นด้วยโดมขนาดมหึมาที่สามารถมองเห็นได้จากทั่วกรุงโรม และที่แห่งนี้ยังเป็นที่ฝังพระศพของพระสันตะปาปาพระองค์แรกที่ถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยการตรึงไม้กางเขนในสมัยของจักรพรรดิเนโร ถือเป็นศูนย์รวมทั้งทางกายและทางใจของวาติกัน ภายในวิหารประดับด้วยงานศิลปะ และถูกตกแต่งด้วยหินอ่อน โดยมีประติมากรรมอย่าง ปีเอต้า (Pietà) ที่ทำมาจากหินอ่อนเพียงก้อนเดียว ใช้เวลาในการแกะสลักถึง 7 ปี นอกจากนี้บริเวณด้านคือ จัตุรัสนักบุญปีเตอร์ ออกแบบโดย จาน ลอเรนโซ เบอร์นิน เป็นประติมากรที่ได้รับฉายาว่า สามารถเสกหินอ่อนให้หายใจได้ และตรงกลางมีเสาโอเบลิสก์หินแกรนิตแดง สูง 25.5 เมตร ซึ่งเป็นการแสดงถึงแสงยานุภาพของโรมันที่มีต่อประเทศในยุโรปและแถบเมดิเตอร์เรเนียนในขณะนั้น

มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และตรงกลางมีเสาโอเบลิสก์หินแกรนิตขนาดใหญ่
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ Credit : www.aciafrica.org

3. น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain)

น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) คือหนึ่งในแลนด์มาร์กที่โด่งดังที่สุดของกรุงโรม และเป็นน้ำพุสไตล์บาโรกที่ใหญ่และงดงามที่สุดในเมือง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 มีประติมากรรมเทพเจ้าน้ำ โอนีโม (Oceanus) เป็นศูนย์กลาง รายล้อมด้วยรูปปั้นม้าทะเลและเทพนิยายที่แสดงถึงพลังของน้ำอย่างมีชีวิตชีวา สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากคือ ตำนานการโยนเหรียญลงในน้ำพุถ้าโยนด้วยมือขวาข้ามไหล่ซ้าย จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้ง ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมยอดฮิตที่ทั้งโรแมนติกและสนุกสนาน

น้ำพุเทรวี่มีรูปปั้นเทพเจ้าน้ำโอนีโมอยู่ตรงกลางและรูปปั้นม้าทะเลอยู่รอบๆ
น้ำพุเทรวี่ Credit : en.wikipedia.org

4. จัตุรัสเดอิมิราโกลี (Piazza dei Miracoli)

จัตุรัสเดอิมิราโกลี (Piazza dei Miracoli) หรือ จัตุรัสแห่งปาฏิหาริย์ ตั้งอยู่ในเมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็นหนึ่งในจัตุรัสที่โด่งดังที่สุดของโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี 1987 โดยได้รวบรวมเอาสถาปัตยกรรมสำคัญ 4 แห่ง ไว้ในพื้นที่เดียว ได้แก่ มหาวิหารปิซา, หอเอนปิซา, หอศีลจุ่ม และสุสานโบราณ Campo Santo ทุกองค์ประกอบสะท้อนวัฏจักรของชีวิต ทั้งการเกิด ชีวิต ความตาย และการฟื้นคืนชีพ ชื่อ “Piazza dei Miracoli” มาจากบทประพันธ์ของกาบริเอเล ดันนุนซิโอ ที่เรียกว่า Prato dei Miracoli หรือ ทุ่งหญ้าแห่งปาฏิหาริย์ เพื่อสื่อถึงความสมบูรณ์แบบของงานสถาปัตยกรรมบนสนามหญ้าสีเขียวสด

นักท่องเที่ยวกำลังนั่งเล่นบริเวณหน้าจัตุรัสเดอิมิราโกลี
จัตุรัสเดอิมิราโกลี Credit : commons.wikimedia.org

5. หอเอนปิซ่า (Leaning Tower of Pisa)

หอเอนปิซ่า คือหนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของอิตาลี ตั้งอยู่ในจัตุรัสเดอิมิราโกลี (Piazza dei Miracoli) เมืองปิซา หอระฆังแห่งนี้เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1173 และใช้เวลากว่า 200 ปีจึงแล้วเสร็จ ความพิเศษคือ "ความเอียง" ที่เกิดจากดินฐานรากอ่อน ซึ่งแม้จะไม่ตั้งใจ แต่กลับกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ตัวหอมีความสูงประมาณ 56 เมตร และเอียงประมาณ 4 องศา นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดกว่า 290 ขั้น เพื่อชมวิวของเมืองปิซาจากมุมสูง หอเอนปิซาผ่านการบูรณะหลายครั้งเพื่อรักษาความมั่นคง แต่ยังคงลักษณะเอียงตามธรรมชาติไว้ได้อย่างปลอดภัย

หอเอนปิซ่าตัดกับสนามหญ้าสีเขียวสวยงาม
หอเอนปิซ่า Credit : www.historyhit.com

6. โคลอสเซียม (Colosseum)

โคลอสเซียม คือสนามกีฬากลางแจ้งโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคจักรวรรดิโรมัน ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 72 โดยจักรพรรดิเวสปาเซียน และสร้างแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 80 ใช้เป็นเวทีสำหรับการแสดงต่าง ๆ เช่น การต่อสู้ของนักรบโรมัน, การล่าของสัตว์ป่า และการแสดงจำลองการรบ ตัวอาคารมีความสูงประมาณ 48 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ถึง 50,000 คน มีโครงสร้างเป็นวงรีขนาดใหญ่ ถือเป็นผลงานวิศวกรรมล้ำยุคในสมัยนั้น ปัจจุบันแม้จะเหลือแค่ซาก แต่ก็ยังสะกดทุกสายตา และเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องมาสักครั้ง

นักท่องเที่ยวกำลังชมซากสนามกีฬากลางแจ้งโคลอสเซียม
โคลอสเซียม Credit : www.britannica.com

7. ท่าเรือตรอนเคตโต้ (Tronchetto)

ท่าเรือตรอนเคตโต้ เป็นเกาะเทียมขนาดเล็ก ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1960 เพื่อแก้ปัญหาการจราจรและการจอดรถในเมืองเวนิส เป็นศูนย์กลางคมนาคมสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังเกาะเวนิสด้วยรถยนต์หรือรถบัส เนื่องจากในเขตเวนิสหลักไม่อนุญาตให้ใช้รถยนต์ ที่นี่จึงกลายเป็นจุดจอดรถหลัก พร้อมมีบริการเรือ Vaporetto เรือโดยสารสาธารณะ ที่เชื่อมต่อไปยังจุดสำคัญต่าง ๆ ของเมือง ในปัจจุบัน Tronchetto มีลานจอดรถขนาดใหญ่ ท่าเรือโดยสาร ร้านค้า และบริการสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ถือเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญแห่งหนึ่งของเวนิส

ท่าเรือตรอนเคตโต้มีที่จอดรถกว้างใหญ่
ท่าเรือตรอนเคตโต้ Credit : www.interparkingitalia.it

8. สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs)

สะพานถอนหายใจ เป็นหนึ่งในจุดเช็คอินยอดนิยมของเวนิส สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1600 เชื่อมระหว่างพระราชวังดอจ (Doge's Palace) กับเรือนจำของเมือง ตัวสะพานทำจากหินปูนสีขาว ออกแบบอย่างประณีตในสไตล์บาโรก โดยสถาปนิก Antonio Contino ชื่อ "สะพานถอนหายใจ" มาจากตำนานว่า นักโทษที่ถูกนำตัวผ่านสะพานนี้จะถอนหายใจครั้งสุดท้าย เมื่อได้เห็นวิวของเมืองเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถูกคุมขัง หรือบางรายกล่าวว่าเป็นเสียงถอนหายใจของคู่รักที่ต้องพรากจากกัน ในความเป็นจริงอาจไม่โรแมนติกเท่าเรื่องเล่า แต่บรรยากาศรอบสะพานและความงดงามทางสถาปัตยกรรมก็ทำให้ที่นี่เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทัวร์อิตาลี

สะพานถอนหายใจสีขาวทางเชื่อมระหว่างพระราชวังและเรือนจำ
สะพานถอนหายใจ Credit : en.wikipedia.org

9. มหาวิหารมิลาน (Duomo di Milano)

มหาวิหารมิลาน หรือ Duomo di Milano คือสัญลักษณ์สำคัญของเมืองมิลาน และเป็นหนึ่งในมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1386 และใช้เวลานานถึงเกือบ 600 ปีจึงแล้วเสร็จ มีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่ละเอียด มียอดแหลมกว่า 130 ยอด และประติมากรรมรูปปั้นกว่า 3,400 ชิ้นที่ประดับอยู่ทั่วอาคาร นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังดาดฟ้าของมหาวิหารเพื่อชมวิวเมืองมิลานแบบพาโนรามา รวมถึงมองเห็นรูปปั้นพระแม่นางมารีทองคำ (Madonnina) ที่เป็นที่เคารพของชาวเมือง บรรยากาศภายในโบสถ์เงียบสงบ เต็มไปด้วยกระจกสีสเตนกลาสและเสาที่สูงที่ให้ความรู้สึกขลัง

มหาวิหารมิลานขนาดใหญ่
มหาวิหารมิลาน Credit : dominikgehl.com

10. กัลเลรีอาวิตโตรีโยเอมานูเอเลเซคอนโด (Galleria Vittorio Emanuele II)

Galleria Vittorio Emanuele II คือแหล่งช้อปปิ้งสุดหรูใจกลางเมืองมิลาน ตั้งอยู่ระหว่างมหาวิหารมิลานและโรงละครลาสกาลา (La Scala) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 และถือเป็นหนึ่งในศูนย์การค้าที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ตัวอาคารออกแบบในสไตล์นีโอคลาสสิกผสมเรอเนสซองซ์ โดยมีหลังคาโดมกระจกและเหล็กอันงดงามที่กลายเป็นเอกลักษณ์ ภายในรวบรวมแบรนด์ระดับโลก เช่น Prada, Gucci และ Louis Vuitton พร้อมร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านหนังสือที่ตกแต่งหรูหรา บรรยากาศโดยรวมให้ความรู้สึกเหมือนได้เดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์มากกว่าห้างสรรพสินค้า

กัลเลรีอาวิตโตรีโยเอมานูเอเลเซคอนโด Credit : 3giorniamilano.it

สรุป

โดยสรุปแล้ว อิตาลีเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยศิลปะ ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมระดับโลก ทั้งโคลอสเซียมในโรม หอเอนปิซาในปิซา มหาวิหารดูโอโมในมิลาน ไปจนถึงเวนิสอันโรแมนติก ซึ่งแต่ละสถานที่ล้วนมีเรื่องราวและเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากใครที่ชอบแนวประวัติศาสตร์อิตาลีก็อีกประเทศที่ควรมาสัมผัสอารยธรรมของทางยุโรปมากๆ หากใครสนใจไปเที่ยวทัวร์อิตาลี สามารถทักมาสอบถามข้อมูลหรือแอดไลน์มาได้ที่ LINE ID : @lovelysmiletour ได้เลย