รีวิว ทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน เว้ ดานัง ฮอยอัน ครบทุกไฮไลท์

แชร์บทความนี้

ประเทศเวียดนามถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่น่าเที่ยวและเป็นที่นิยมของใครหลายๆ คน มีความสวยงามทางด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม และมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมาย ซึ่งเวียดนามก็จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกันค่ะ นั่นก็คือ เวียดนามเหนือ กลาง และใต้ ซึ่งในแต่ละภาคก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวและมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป ในวันนี้เราก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวภาคที่คนนิยมไปกันมากที่สุดอย่างเวียดนามกลางค่ะ ซึ่งโปรแกรมที่ได้เลือกไปก็จะเป็นทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน และได้เที่ยวครบทั้ง 3 เมือง เมืองเว้ ดานัง ฮอยอัน จึงอยากจะมาเล่าเรื่องและแบ่งปันประสบการณ์การท่องเที่ยวเวียดนามกลางกับบริษัททัวร์ให้กับเพื่อนๆ ได้อ่านกันค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย

วันที่ 1 ของทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน

วันนี้ก็จะเป็นวันที่ได้เดินทางไปเวียดนามกลางค่ะ โดยได้เลือกบินเป็นไฟลท์สายเวลา 10.50 น. เวลานัดหมาย 07.30 น.ค่ะ เมื่อเดินทางมาถึงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็จะพบกับพนักงานต้อนรับและหัวหน้าทัวร์คนไทย ทางพนักงานต้อนรับก็จะแจกเนมแท็กกระเป๋ากันกระเป๋าสลับกัน โปรแกรมการท่องเที่ยวในแต่ละวัน แมส สเปรย์แอลกอฮอล์และมีลูกอมให้ได้ทานเล่นด้วยค่ะ

กระเป๋าเดินทาง
เตรียมตัวเดินทางไปทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน

หลังจากนั้น ทางหัวหน้าทัวร์ก็จะพาไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์สายการบินค่ะ สำหรับกรุ๊ปทัวร์ที่นั่งบนเครื่องก็จะเป็นแบบแรนด้อมค่ะ ใครที่เดินทางหลายคนและต้องการนั่งกับเพื่อนก็สามารถยื่นพาสปอร์ตไปพร้อมกับเพื่อนได้เลย หรือใครอยากจะนั่งตรงไหนก็สามารถแจ้งพนักงานได้เช่นกัน พนักงานก็จะช่วยจัดที่นั่งให้ค่ะ โดยกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่องควรมีน้ำหนักไม่เกินคนละ 20 กิโลกรัม และสำหรับกระเป๋าถือขึ้นเครื่องควรมีน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัมต่อคน แนะนำว่าให้ลองชั่งน้ำหนักกระเป๋าอีกครั้งเพื่อความชัวร์นะคะ ถ้าเกินจากที่กำหนดไว้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มนั่นเองค่ะ แต่เงื่อนไขในเรื่องของกระเป๋าก็จะขึ้นอยู่กับสายการบินและรายละเอียดที่ได้ระบุในโปรแกรมทัวร์เวียดนามกลางด้วยนะคะ ในวันนี้ก็ได้บินกับสายการบิน Vietjet Air ค่ะพนักงานก็ยิ้มแย้มแจ่มใส และบริการค่อนข้างดีเลยค่ะ การเดินทางจากประเทศไทยไปเวียดนามกลางจะใช้เวลาในการเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง 20 นาทีเท่านั้นค่ะ

เดินทางถึงเมืองดานัง เวียดนามกลาง เวลา 12.30 น. ก็จะต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของที่เวียดนามก่อนค่ะ ซึ่งด่านตรวจของที่นี่จะเป็นคนตรวจ จะไม่ใช่เครื่องอัตโนมัติ จึงจะใช้เวลาพอสมควรเลยค่ะ เมื่อผ่านด่านตรวจได้แล้วก็จะรอรับกระเป๋าที่สายพานและให้เวลาในการเตรียมของใช้ที่จำเป็นอีกครั้งค่ะ

สนามบินดานัง
เมื่อผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็มายืนรอรับกระเป๋าค่ะ

หลังจากที่เตรียมของเสร็จแล้ว เมื่อเดินออกมาข้างหน้าก็จะมีรถบัสและไกด์ท้องถิ่นมารอต้อนรับและดูแลเราตลอดทั้งทริป รถที่ได้นั่งก็จะเป็นรถโค้ชแบบปรับอากาศเบาะก็นั่งสบายในระดับนึงและแอร์ก็เย็นพอสมควรค่ะ หลังจากนำกระเป๋าเดินทางไปเก็บไว้ใต้รถแล้วก็ถึงเวลาเดินทางไปทานอาหารเที่ยงที่ภัตตาคาร ซึ่งในวันนี้อาหารที่ได้ทานจะเป็นอาหารพื้นเมืองของเวียดนามค่ะ อาหารก็จะมีให้ทานอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัดสับปะรด เฝอ ขนมเบื้องญวน แหนมเนือง อาหารก็จะมีรสชาติค่อนไปทางจืด ทานง่าย คนที่ไม่ทานเผ็ดหรือเด็กก็สามารถทานได้ค่ะ

รถบัสที่เวียดนาม
รถบัสปรับอากาศ
อาหารที่เวียดนามกลาง
อาหารพื้นเมืองเวียดนาม

เมื่อทานอาหารเที่ยงเสร็จก็จะถึงเวลาเที่ยวค่ะ ในวันแรกก็จะได้ขึ้นไปบนบานาฮิลล์ (Ba Na Hills) หรือบ้านพักตากอากาศที่สร้างเป็นสไตล์ฝรั่งเศสนั่นเองค่ะ ภายในก็จะมีทั้งสวนสนุก Fantasy Park ที่มีเครื่องเล่นให้ได้เล่นมากมาย สวนดอกไม้ Le Jardin D’Amour สะพานมือสีทอง พระยูไลองค์ใหญ่ โซนใหม่ Lunar Castle และมีร้านขายของที่ระลึกให้ได้เลือกซื้อของฝากมากมาย จากร้านอาหารมายังบานาฮิลล์จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีค่ะ เนื่องจากว่าที่เวียดนามมีกฎหมายให้ขับรถได้ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงทำให้ใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนานนิดนึงค่ะ เมื่อเดินทางมาถึงบริเวณล็อบบี้ไกด์ก็จะแจกตั๋วสำหรับเที่ยวบนบานาฮิลล์

ล็อบบี้บานาฮิลล์
ทางเข้าล็อบบี้

จากนั้น ก็จะพาขึ้นกระเช้าเพื่อเดินทางขึ้นไปข้างบนบานาฮิลล์ค่ะ โดยกระเช้าที่ได้ขึ้นจะเป็นแบบพิเศษสำหรับคนที่พักบนบานาฮิลล์ ไม่ต้องต่อแถวรอให้เหนื่อยและเสียเวลา กระเช้า 1 กระเช้าจะค่อนข้างกว้าง สามารถนั่งได้ประมาณ 5-6 ท่านเลยค่ะ สำหรับการนั่งกระเช้าขึ้นมาด้านบนจะใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น ซึ่งกระเช้าของที่นี่จะมีความยาวถึง 5,801 เมตร และสูงกว่า 1,368 เมตรเลยค่ะ เรียกได้ว่าหวาดเสียวสุดๆ ใครที่ไม่ได้กลัวความสูงก็ต้องมีกลัวบ้างแน่นอน วิวระหว่างทางขึ้นข้างบนก็จะสวยมากค่ะ มีทั้งต้นไม้สีเขียวมากมาย และมีน้ำตกให้ได้ชมอีกด้วย

ตั๋วขึ้นกระเช้าบานาฮิลล์
ตั๋วสำหรับขึ้นกระเช้าบนบานาฮิลล์
กระเช้าบานาฮิลล์
กระเช้าสำหรับขึ้นไปบนบานาฮิลล์

เมื่อขึ้นมาถึงข้างบนบานาฮิลล์แล้วอากาศก็จะเย็นกว่าด้านล่างและลมก็ค่อนข้างแรงเลยค่ะ ไกด์ก็จะนำไปที่โรงแรม MERCURE DANANG FRENCH VILLAGE BANA HILLS ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวที่ตั้งอยู่ในบานาฮิลล์ ระหว่างทางก็จะเจอกับโบสถ์คริสต์และจุดไฮไลท์ลูกโลก Sun Worid ด้วยค่ะ จากนั้นไกด์จะทำการจัดห้องพักให้กับแต่ละคน ใครที่เดินทางแบบครอบครัวและกังวลว่าจะได้พักห้องห่างกันก็สามารถแจ้งไกด์และให้ไกด์ช่วยจัดห้องพักให้ได้ค่ะ ที่โรงแรมก็จะมีทั้งหมด 8 ตึกด้วยกัน ซึ่งเราจะได้พักที่ตึก 6 ชั้น 3 ห้องที่ 16 ห้องพักของที่นี่จะค่อนข้างกว้าง สะอาด มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งไดร์เป่าผม อุปกรณ์อาบน้ำ โทรทัศน์ แต่เนื่องจากที่นี่อากาศจะค่อนข้างเย็นตลอดทั้งวัน ที่โรงแรมก็จะไม่ได้มีแอร์ปรับอากาศในห้องค่ะ ในห้องก็จะมีเป็นพัดลมเพดานให้แทน หรือดึกๆ ใครที่ทนอากาศหนาวของที่นี่ไม่ไหว ภายในห้องก็จะมีฮีทเตอร์ให้ได้ใช้ด้วยค่ะ หลังจากเช็คอินและได้รับคีย์การ์ดห้องแล้ว ไกด์ก็จะมีเวลาให้นำกระเป๋า หรือของมีค่าต่างๆ ไปเก็บไว้ในห้องพัก และได้ให้เวลาในการเตรียมตัวประมาณ 15 นาที เพื่อพาไปชมจุดต่างๆ ของบานาฮิลล์ค่ะ

โบสถ์คริสต์ ทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน
โบสถ์คริสต์
sun world bana hills
ลูกโลก Sun World
MERCURE DANANG FRENCH VILLAGE BANA HILLS
ห้องพักของ MERCURE DANANG FRENCH VILLAGE BANA HILLS

เมื่อถึงเวลานัดหมายไกด์ก็จะพาไปเดินชม สะพานมือยักษ์สีทอง ซึ่งถือเป็นจุดไฮไลท์ของบานาฮิลล์หรือของทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืนเลยก็ว่าได้ค่ะ และที่จุดนี้เป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวมาเช็คอินถ่ายรูปกันเยอะที่สุดเลยค่ะ เราเดินทางมาถึงช่วงเย็นคนก็ยังเดินชมวิวและแวะถ่ายรูปค่อนข้างเยอะเลย การเดินทางไปในส่วนของสะพานมือจะต้องเดินมาเพื่อขึ้นกระเช้าอีกต่อนึงค่ะ ใช้เวลาในการนั่งกระเช้าไม่นาน นั่งประมาณ 5 นาทีเท่านั้นก็จะได้ชมความงามของสะพานมือสีทองกันแล้วค่ะ แต่เนื่องจากกระเช้าบริเวณสะพานมือจะปิดให้บริการประมาณ 17.30 น. ดังนั้นจึงได้ไปแวะถ่ายรูปได้ไม่นานค่ะ ใครที่มาถึงบานาฮิลล์ในช่วงเย็นแล้วอยากจะมาถ่ายรูปกับสะพานมือสีทองก็แบ่งเวลากันดีๆ นะคะ

ทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน สะพานมือ
สะพานมือสีทอง ไฮไลท์สำคัญของทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน

ต่อมาจะเป็นในส่วนของสวนดอกไม้แห่งความรัก Le Jardin D’Amour เป็นสวนดอกไม้ฝรั่งเศสที่ตกแต่งสไตล์ยุโรป ภายในสวนก็จะมีดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิดให้ได้ชม มีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ เยอะเลยค่ะ และบริเวณใกล้ๆ กันกับสวนดอกไม้ก็จะมีพระยูไลองค์ใหญ่วัดลินห์อึ๋ง ซึ่งมีความสูงถึง 30 เมตรให้ได้ไหว้ขอพรกันอีกด้วยค่ะ แต่เนื่องจากว่ากว่าจะเดินทางมาถึงบานาฮิลล์ก็เป็นช่วงเย็นแล้วค่ะ จึงทำให้ไม่สามารถชมในแต่ละส่วนของที่นี่ได้ทั้งหมด จึงจะได้ไปเก็บตกสถานที่ต่างๆ ต่อในวันถัดไปค่ะ

สวนดอกไม้แห่งความรัก Le Jardin D’Amour
สวนดอกไม้แห่งความรัก Le Jardin D’Amour
พระยูไล
พระยูไล

ไกด์ก็จะให้เวลาเราในการเดินชมและเก็บภาพบรรยากาศกันตามอัธยาศัยและจะนัดเวลานัดหมายในการทานอาหารเย็นอีกครั้งค่ะ ซึ่งอาหารเย็นที่จะได้ทานในวันนี้ก็จะเป็นบุฟเฟต์นานาชาติ อาหารก็จะมีให้เลือกหลากหลายเลยค่ะ ทั้งอาหารเวียดนาม อาหารไทย และอาหารต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเฝออาหารพื้นเมืองของเวียดนาม ชีสบอร์ด สลัดต่างๆ ข้าวผัดสับปะรด เมนู Seafood ในส่วนของอาหารไทยอย่างกะเพราหมูก็มีให้ได้ทานค่ะ ใครที่คิดถึงอาหารไทยก็สามารถตักทานกันได้นะคะ ผลไม้ต่างๆ ก็มีให้ได้เลือกทานค่ะ ส่วนใครที่เป็นสายเบียร์หรือไวน์ที่นี่ที่จะมีบาร์ชื่อ LA TAVERNE BAR จะอยู่บริเวณโรงแรมตึก 2 ชั้นใต้ดิน นอกจากนี้ยังมีลานเบียร์ Beer Plaza ให้ได้นั่งชิล นั่งทานเบียร์ ที่ Beer Plaza ก็จะมีอาหารต่างๆ ให้ได้ลองทานด้วยค่ะ จะมีบาบีคิวเสียบไม้ ไอติม หรือของย่างต่างๆ ในช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่มของที่นี่ก็จะมีโชว์การแสดงให้ได้ชมด้วยค่ะ ใครที่อยากมาลองทานเบียร์ของที่นี่พร้อมกับนั่งชมบรรยากาศบานาฮิลล์ในตอนกลางคืนก็แนะนำเลยค่ะ

บุฟเฟต์บนบานาฮิลล์
บุฟเฟต์บนบานาฮิลล์
สลัดบาร์
เมนูสลัด
beer plaza bana hills
บริเวณ Beer Plaza

วันที่ 2

วันนี้ก็จะเป็นวันที่ 2 ของการเที่ยวค่ะ ใครที่ตื่นเช้าเวลาประมาณ 6 โมง ก็สามารถมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันได้นะคะ วันนี้ตื่นเช้าพอดีเลยได้ตื่นมาชมวิวในตอนเช้าค่ะ อากาศเย็นๆ กับวิวตึกยุโรปที่บานาฮิลล์ สวยงามมากค่ะ ในตอนเช้าก็จะมีอาหารให้ทานซึ่งจะเป็นบุฟเฟต์นานาชาติเช่นกันค่ะ โดยสามารถนำคูปองที่ได้มาพร้อมกับคีย์การ์ดห้องมายื่นให้กับพนักงานได้เลย อาหารก็จะมีให้เลือกทานหลากหลายเช่นกันค่ะ แต่ในช่วงนี้อาหารก็จะเป็นอาหารที่ค่อนข้างเบา รสชาติทานง่าย จะมีทั้งขนมปัง เค้ก ข้าวผัด ข้าวต้ม และยังมีน้ำผลไม้ ชา และกาแฟให้ได้ทานอีกด้วยค่ะ

บานาฮิลล์
วิวระเบียงตอนเช้า

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จก็จะเป็นช่วงเวลาในการเก็บตกสถานที่ต่างๆ ในบานาฮิลล์ที่ไม่ได้ไปค่ะ ตอนเช้าอากาศก็จะค่อนข้างเย็นสบาย มีแดดอุ่นๆ ทำให้บรรยากาศที่นี่โรแมนติกมากเลยค่ะ ที่นี่ก็จะมีโซนที่เปิดใหม่อย่าง Lunar Castle เราก็ได้เดินทางมาโซนใหม่ของที่นี่ด้วยด้วยรถรางสีแดงค่ะ ภายในก็จะตกแต่งสไตล์ยุโรป ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดมาในหนังเลยค่ะ จะมีทั้งปราสาทหลังใหญ่ สวนดอกไม้ล้อมรอบและมีน้ำพุอยู่ด้านข้าง ด้านในปราสาทก็จะเป็นโซนโรงภาพยนตร์ 6D ซึ่งอยู่ที่ชั้น 3 ของปราสาท ใครที่อยากเข้าชมก็สามารถแวะมาเข้าชมได้นะคะ ที่โรงภาพยนต์นี้จะเปิดให้เข้าเวลา 09.30 น.ค่ะ เมื่อเดินออกมาจากตัวตึก ข้างนอกก็จะเป็นปราสาทและสวนหย่อมที่มีดอกไม้มากมาย สวยมากเลยค่ะ ในส่วนของโซนสวนสนุก Fantasy Park จะเป็นสวนสนุกในร่มที่มีทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกันค่ะ Free-Fall Tower / Alpine Coaster / 4D 5D เราจะไม่ได้แวะเข้าไปเล่นค่ะ เนื่องจากว่าเวลามีค่อนข้างจำกัด และที่นี่เขามีมุมสวยๆ ให้ได้ถ่ายรูปเพียบ เลยทำให้ไม่ได้มาเล่นเครื่องเล่นที่โซนนี้ค่ะ ใครจะมาเล่นหรือเก็บให้ครบทุกโซน ก็แบ่งเวลาเที่ยวในแต่ละโซนกันดีๆ นะคะ

รถรางบานาฮิลล์
รถรางสีแดงที่จะพาไปตึกใหม่ของบานาฮิลล์
Lunar Castle
ภายในโซน Lunar Castle จะมีทั้งหมด 3 ชั้น
Lunar Castle
เดินออกมาจากตึกข้างหน้าก็จะเป็นปราสาท
Lunar 1

เมื่อถึงเวลานัดหมายก็จะพานั่งกระเช้าลงจากบานาฮิลล์ก็จะได้เวลาของมื้อเที่ยงค่ะ มื้อเที่ยงของวันนี้ก็จะได้ทานเมนู Seafood ซึ่งเจ้าของร้านนี้เป็นคนไทยและยังเป็นเจ้าของร้านไข่มุกอีกด้วยค่ะ อาหารมื้อนี้ก็จะหลากหลาย รสชาติอร่อย ถูกปากคนไทยแน่นอนค่ะ

อาหารทะเล เวียดนาม
เมนู Seafood

หลังจากทานอาหารเสร็จก็จะได้ไปฟังบรรยายเกี่ยวกับไข่มุกค่ะ จะได้วิธีการเช็คว่าไข่มุกใดเป็นไข่มุกแท้ค่ะ ถ้าไข่มุกแท้เมื่อนำมาขูดกับกระจกจะทำให้กระจกเป็นรอย ในขณะที่ไข่มุกปลอมเมื่อนำมาขูดกับกระจกจะลื่นๆ ไม่เป็นรอยค่ะ และอีกวิธีในการเช็คก็คือนำไฟมารนกับไข่มุกนั่นเองค่ะ ไข่มุกแท้เมื่อนำมารนกับไฟจะไม่ไหม้ ในทางกลับกันถ้าเป็นไข่มุกปลอมเมื่อโดนไฟจะไหม้เป็นสีดำค่ะ นอกจากนี้ยังได้รู้วิธีในการเลี้ยงหอย และเก็บไข่มุกจากห้องอีกด้วยค่ะ ในการฟังบรรยายครั้งนี้ก็จะได้ความรู้กลับไปมากมายเลยค่ะ หลังจากฟังบรรยายก็จะอิสระเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากไข่มุก จะมีทั้งครีมจากไข่มุก สร้อยไข่มุกสีสันสวยงามมากมาย ถ้าซื้อไปฝากญาติผู้ใหญ่รับรองว่าถูกใจแน่นอนค่ะ

ร้านไข่มุก
บรรยากาศภายในห้องบรรยายร้านไข่มุก

หลังจากนั้นก็จะเดินทางไปที่ วัดเทียนมู่ (Tianmu) ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของเวียดนามกลางที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม เป็นวัดที่มีความสำคัญทางศาสนาพุทธ และยังเป็นที่เก็บรถออสตินสีฟ้าคันประวัติศาสตร์ เนื่องจากมีพระจีนซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเทียนมู่ในขณะนั้น ได้ขับรถออสตินสีฟ้าไปเผาตัวเองที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์ในปัจจุบันเพื่อเป็นการประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียมที่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงและทำลายพระพุทธศาสนา โดยบังคับให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก จุดไฮไลท์ของที่นี่ก็จะเป็นเจดีย์ 8 เหลี่ยม สูง 7 ชั้นนั่นเองค่ะ ซึ่งแต่ละชั้นเชื่อว่าเป็นตัวแทนชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ภายในวัดก็ค่อนข้างร่มรื่นเลยค่ะ มีทั้งต้นไม้มากมายและสวนหย่อม บรรยากาศดีมากค่ะ

เจดีย์เทียนมู่
เจดีย์วัดเทียนมู่

ถึงเวลาเดินทางไปที่ พระราชวังไดโน้ย (Dai noi) ซึ่งเป็นพระราชวังโบราณแห่งสุดท้ายของเวียดนาม ที่องค์กร UNESCO ได้ประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลก จุดเด่นของที่นี่ก็คือจะมีรถสามล้อซิโคล่ (Cyclo) ให้ได้นั่งนั่นเองค่ะ ทางคนขับสามล้อก็จะพาเรานั่งชมเมืองเว้และรอบๆ พระราชวังไดโน้ย จะขับไปเรื่อยๆ จนถึงตลาดดองบา เป็นตลาดที่ได้รวบรวมของฝากต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งเสื้อเวียดนาม หมวก ชุดอ๋าวหย่าย รองเท้า กระเป๋า ไปจนถึงพวกของแห้ง พวกบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างของที่เวียดนามจะค่อนข้างเล็กและสร้างหลายชั้นจนเกิความสงสัยค่ะ จากที่ไกด์เล่าให้ฟังที่ตึกส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและมีจำนวนหลายชั้นก็เพราะว่าที่ดินของประเทศเวียดนามมีราคาแพง เวลาสร้างบ้านหรือตึกก็จะสร้างได้ไม่เกิน 20*50 ตารางเมตร เท่านั้นค่ะ

พระราชวังไดโน้ย
ด้านหน้าพระราชวังไดโน้ย
รถสามล้อซิโคล่
รถสามล้อซิโคล่

เมื่อเดินทางมาถึงตลาดดองบา ก็จะมีเวลาให้เลือกซื้อของฝากประมาณ 45 นาทีค่ะ ภายในตลาดจะค่อนข้างแคบและมืด สินค้าก็จะมีทั้งของแห้ง กระเป๋า รองเท้า กาแฟค่ะ ใครที่เดินเล่นที่ตลาดแล้วร้อนๆ แถวตลาดก็จะมีห้างสรรพสินค้าที่ชื่อว่า co.op mart ก็จะมีสินค้าให้ได้เลือกซื้อมากมายเลยค่ะ ทั้งขนมขบเคี้ยว น้ำดื่ม ของใช้ต่างๆ และภายในยังมีตู้เกมหยอดเหรียญให้ได้เล่นอีกด้วยค่ะ

ตลาดดองบา
ภายในตลาดดองบา
co.op mart
ห้าง co.op mart

หลังจากที่ได้ซื้อของฝากกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลานั่งเรือชมความงามของแม่น้ำหอมกันค่ะ เรือที่จะได้นั่งก็จะเป็นเรือขนาดใหญ่ที่มีหัวเรือเป็นมังกร 2 หัว สามารถจุคนได้ประมาณ 50 คน นอกจากจะได้ชมความงามของแม่น้ำหอมแล้ว ยังมีโชว์การแสดงพื้นเมืองของชาวเวียดนามโบราณทั้งร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรีจากนักศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยด้วยค่ะ แต่ละท่านร้องเพลงเพราะและเสียงใสมีเอกลักษณ์มากค่ะ หลังจากที่ได้ชมโชว์การแสดงต่างๆ แล้ว ก็จะได้ลอยกระทงในแม่น้ำหอมกันด้วยค่ะ

ล่องเรือมังกร
เรือมังกร 2 หัว
ล่องเรือมังกร เว้ ทัวรืเวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน
บรรยากาศการแสดงพื้นเมือง

เมื่อล่องเรือชมแม่น้ำหอมเสร็จก็เป็นช่วงเย็นพอดีค่ะ ก็จะเดินทางไปที่ภัตตาคารอาหารพื้นเมืองเพื่อทานอาหารเย็นกันต่อค่ะ อาหารก็จะรสชาติค่อนข้างทานง่ายเช่นเคยค่ะ อาหารที่แนะนำว่าต้องลองก็จะแนะนำเป็นยำหัวปลีค่ะ โดยยำหัวปลีจานนี้จะทานคู่กับข้าวเกรียบสีขาว ตัวยำหัวปลีรสชาติอร่อย ไม่เผ็ด แผ่นข้าวเกรียบก็กรอบๆ รสชาติแปลกใหม่ดีค่ะ

อาหารพื้นเมือง
อาหารพื้นเมือง

หลังจากนั้นก็เดินทางเช็คอินโรงแรมที่พักค่ะ โรงแรมที่พักในคืนนี้ก็จะเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ที่มีชื่อว่า CHERISH HOTEL ซึ่งใกล้ๆ กันกับโรงแรมก็จะมีถนนคนเดินที่มีร้านค้าให้ได้เลือกซื้อของ มีร้านเบียร์ที่ขายเบียร์ของเวียดนามให้ได้ลองชิม มีร้านคาเฟ่ ร้านขายอาหารพื้นเมือง และมีของฝากมากมายให้ได้เลือกซื้อด้วยค่ะ ใครที่จะลงมาเดินเล่นที่ถนนคนเดินนี้ก็สามารถมาเดินเล่นได้เช่นกันค่ะ บรรยากาศตอนกลางคืนค่อนข้างคึกคัก จะมีคนออกมาเที่ยวและนั่งเล่นกันเต็ม 2 ข้างทางเลยค่ะ ในวันนี้ก็มีโอกาสได้มาลองโยเกิร์ตปั่นของร้าน Cộng Caphe ค่ะ ซึ่งร้าน Cộng นี้เป็นคาเฟ่ชื่อดังของเวียดนามที่มีสาขาอยู่แทบจะทุกหัวมุมเมืองเลยค่ะ โยเกิร์ตปั่นของที่นี่รสชาติอร่อย ไม่หวานจนเกินไป และให้ผลไม้เยอะด้วยค่ะ ใครที่มีโอกาสก็อย่าลืมมาแวะลองทานกันนะคะ

ถนนคนเดินเว้
บรรยากาศถนนคนเดิน
โยเกิร์ตปั่นของร้าน Cộng Caphe
โยเกิร์ตปั่นของร้าน Cộng Caphe

วันที่ 3

ที่โรงแรมก็จะมีห้องอาหารอยู่ที่ชั้น 11 เมื่อทานอาหารเสร็จก็เดินทางไปที่ร้านขายผลิตภัณฑ์จากเยื่อไม้ไผ่ จะมีผู้บรรยายเล่าถึงสรรพคุณของเยื่อไม้ไผ่และนำเสนอผลิตภัณฑ์จากเยื่อไม้ไผ่ให้ได้ชมด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟันที่ทำให้ฟันขาว ผ้าเช็ดโต๊ะจากเยื่อไม้ไผ่ ผ้าพันคอ ผ้าเช็ดมือ ถ่านดับกลิ่น แผ่นแปะแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หมอนแก้นอนกรนจากเยื่อไม้ไผ่ รวมไปถึงชุดชั้นในทั้งชายและหญิงค่ะ ซึ่งเขารับประกันเลยค่ะว่าสามารถใส่ซ้ำติดต่อกัน 7 วันโดยที่ไม่มีกลิ่น เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดที่มีของฝากให้ได้เลือกซื้อกลับไปเพียบเลยค่ะ ใครที่สนใจก็อย่าลืมอุดหนุนกันนะคะ

ร้านเยื่อไม้ไผ่
ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากเยื่อไม้ไผ่

หลังจากนั้นก็จะได้ไปต่อกันที่ หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน ที่นี่ก็จะมีสินค้าที่ที่ทำมาจากหินอ่อนให้ได้เลือกซื้อเยอะเช่นกันค่ะภายในก็จะมีทั้งหมด 2 ชั้น ชั้นแรกก็จะขายสินค้าแกะสลักจากหินอ่อน กำไลข้อมือ สร้อยคอ แหวน และเครื่องประดับต่างๆ ในส่วนของชั้นที่สอง ก็จะมีกระเป๋า เสื้อจากผ้าไหม และมีกาแฟที่เป็นของขึ้นชื่อของประเทศเวียดนามให้ได้เลือกซื้อมากมาย หลังจากเลือกซื้อของฝากกันอย่างจุใจแล้ว ก็ถึงเวลาของอาหารเที่ยงค่ะ มื้อเที่ยวของวันนี้ก็จะได้ทานอาหารเวียดนามเช่นเคยค่ะ รสชาติของอาหารในวันนี้ค่อนข้างมันและเค็ม แต่รสชาติก็ถูกใจไม่น้อยเลยค่ะ

หมู่บ้านแกะสลักหินอ่อน
รูปปั้นแกะสลัก
silk 1
บริเวณชั้น 2
อาหารเวียดนามกลาง
อาหารเวียดนาม

และแล้วก็ถึงเวลาเที่ยวที่ไฮไลท์ของวันนี้แล้วค่ะ นั่นก็เมืองโบราณฮอยอันนั่นเองค่ะ เมืองโบราณฮอยอันนี้ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO เช่นกัน ภายในก็จะเต็มไปด้วยบ้านโบราณซึ่งอายุเก่าแก่กว่า 200 ปี มีหลังคาทรงกระดองปู ที่เป็นแบบเฉพาะของเมืองฮอยอัน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่ซ้ำแบบทั้งในด้านศิลปะและการแกะสลัก ตัวตึกก็จะเป็นสีเหลืองมัสตาร์ด น่ารักดีค่ะ ภายในตึกเหล่านี้ก็จะเป็นร้านค้าต่างๆ ทั้งของฝาก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วัดกวนอู ศาลเจ้า ชุมชนชาวจีน และอีกจุดไฮไลท์ก็จะเป็นสะพานญี่ปุ่น หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า Lai Vien Kieu แปลว่าสะพานแห่งมิตรไมตรี สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการข้ามคลอง ถูกสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีมาแล้ว ถือเป็นสะพานที่เก่าแก่และยังคงรูปลักษณ์คล้ายเดิมจนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ แต่เนื่องจากช่วงที่เราได้เดินทางไป สะพานญี่ปุ่นได้ปิดเพื่อปรับปรุงพอดี จึงไม่ได้ไปเดินชมและแวะถ่ายรูป น่าเสียดายมากค่ะ

เมืองโบราณฮอยอัน
ภายในเมืองโบราณฮอยอัน ไฮไลท์สำคัญของทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน
ศาลเจ้าชุมชนชาวจีน
ศาลเจ้าชุมชนชาวจีน

จากนั้นก็จะเดินทางไปที่ หมู่บ้านกั๊มทาน (Cam Thanh) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองฮอยอันจะตั้งอยู่ในสวนมะพร้าวริมแม่น้ำ จุดไฮไลท์ของที่นี่ก็จะเป็นการนั่งเรือกระด้งนั่นเองค่ะ ซึ่งถือเป็นอีกสิ่งที่ควรทำเมื่อเดินทางมาที่เวียดนามกลางเลยค่ะ จะได้ร่องเรือชมความสวยงามของธรรมชาติ แถมยังมีโชว์การแสดงร้องเพลงและหมุนเรือกระด้งให้ได้ชมอีกด้วยค่ะ เรือแต่ละลำจะนั่งได้แค่ 2 คนเท่านั้นค่ะ ใครที่กลัวจะตกเรือก็สามารถบอกคนขับเรือได้เลยค่ะว่าไม่ต้องหมุนเรือ คนที่นี่ก็จะเข้าใจภาษาไทยอยู่บ้างค่ะ หรือถ้าไม่ลงเรือกระด้งก็สามารถนั่งรอข้างบนได้ค่ะ จะมีที่ให้นั่งรออยู่ค่ะ คนพายเรือก็นิสัยดี พูดจาน่ารัก เป็นกันเอง มีบางคนที่พูดไทยได้ด้วยค่ะ ถ้าพึงพอใจกับการบริการของคนขับเรือก็สามารให้ทิปคนขับเรือที่บริการเราเพื่อเป็นสินน้ำใจได้เลยค่ะ ใครที่ได้มีโอกาสมาก็อย่าลืมแวะนั่งเรือกระด้งกันนะคะ

เรือกระด้ง
เรือกระด้ง

หลังจากที่ได้นั่งเรือกระด้งเสร็จฝนก็ได้ตกลงมาทำให้โปรแกรมการเดินทางมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมค่ะ จากที่จะได้ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่วัดหลินอึ๋ง จึงต้องเปลี่ยนเป็นเดินทางไปทานอาหารและกลับเข้าโรงแรมแทนค่ะ อาหารที่ได้ทานวันนี้ก็จะเป็นเมนู Seafood ที่มีทั้งหอย ปู กุ้ง หมึก เรียกได้ว่ายกมาทั้งทะเลเลยค่ะ รสชาติอาหารของที่ร้านนี้ถือว่าอร่อย ทานง่าย ค่อนข้างถูกใจเลยค่ะ พนักงานที่ร้านก็ดูแลดีมากค่ะ ทั้งเติมน้ำและคอยเก็บเศษเปลืองกุ้ง กระดองปู

อาหารซีฟู๊ด
อาหารซีฟู๊ด

หลังจากทานอาหารเสร็จฝนก็หยุดตกพอดีค่ะ จึงได้ไปแวะถ่ายรูปที่สะพานแห่งความรัก ซึ่งอยู่ใกล้กับสะพานมังกรค่ะ ถือเป็นอีกจุดที่มีความโรแมนติกมากอีกที่นึงเลยค่ะ ที่สะพานแห่งนี้จะเป็นที่นิยมของคู่รัก ที่จะมาซื้อกุญแจเพื่อนำมาคล้องไว้กับสะพาน บริเวณรอบๆ ก็จะมีโคมไฟที่เป็นรูปหัวใจสีแดงมากมาย จะมีฉากหลังเป็นสะพานมังกร บริเวณข้างๆ ก็จะมีรูปป้ันปลามังกร ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองดานัง ได้เดินทางมาที่นี่ในตอนกลางคืนบริเวณนั้นก็จะเปิดไฟประดับเต็มไปหมด สวยงามมากๆ เลยค่ะ ในส่วนของสะพานมังกรก็จะมีโชว์พ่นน้ำพ่นไฟในวันเสาร์และวันอาทิตย์เวลา 21.00 น. ใครที่อยากชมก็สามารถนั่ง Grab มาที่นี่เพื่อชมได้นะคะ เมื่อได้แวะถ่ายรูปฝนก็เกิดตกลงมาอีกจึงต้องเดินทางไปเช็คอินที่โรงแรม เพื่อแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ ซึ่งโรงแรมที่ได้พักในคืนนี้มีชื่อว่า ROLIVA HOTEL ก็เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวเช่นกันค่ะ

สะพานมังกร
สะพานมังกร
Fish 1 1 1
รูปปั้นปลามังกร

วันที่ 4

วันนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายของการเที่ยวทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืนแล้วค่ะ โปรแกรมการเที่ยวในวันนี้ก็จะได้เที่ยวแค่ในช่วงเช้า ช่วงเที่ยวจะต้องเดินทางกลับประเทศไทยแล้วค่ะ เนื่องจากเมื่อวานไม่ได้ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่วัดหลินอึ๋ง ในวันนี้จึงต้องตื่นเช้ากว่าปกตินิดนึงเพื่อเผื่อเวลาในการเดินทางไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมค่ะ

หาดหมีเคว
บริเวณชายหาดหมีเคว

หลังจากทานอาหารเสร็จก็เป็นเวลา 7.30 น. ล้อก็จะหมุนออกจากโรงแรม เพื่อเดินทางไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม ระหว่างทางก็จะผ่านชายหาดหมีเคว ซึ่งเป็นชายหาดที่สวยที่สุดในเมืองดานังเลยก็ว่าได้ หาดหมีเควมีแนวชายหาดที่กว้าง และมีความยาวถึง 10 กิโลเมตร น้ำค่อนข้างใส ซึ่งมีความสวยงามเหมือนฮาวายเลยค่ะ ถ้าเทียบกับบ้านเราก็คงจะเหมือนกับพัทยาหรือบางแสนค่ะ ระหว่างทางไกด์ก็จะพูดให้ความรู้เช่นเคยค่ะ เมื่อเดินทางมาถึงเขตของวัดก็จะเห็นเจ้าแม่กวนอิมมาแต่ไกลเลยค่ะ เรียกได้ว่าใหญ่และสวยงามมากค่ะ เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้จะสูงถึง 67 เมตร ตั้งอยู่บนฐานดอกบัว ฐานดอกบัวนี้ก็จะกว้าง 35 เมตร ถือเป็นรูปปั้นองค์เจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลกเลย โดยเจ้าแม่กวนอิมจะยืนหันหลังให้ภูเขา หันหน้าออกสู่ทะเลเพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองชาวประมงที่ออกไปหาปลานั่นเองค่ะ ภายในวัดก็จะมีสิ่งก่อสร้างและวิหารต่างๆ ให้ได้ชมเยอะเลยค่ะ ข้างในวิหารต่างๆ ก็จะมีรูปปั้นเทพมากมายที่ปั้นตามความเชื่อของคนแถวนั้น วันนี้อุณหภูมิตอนเช้าก็ค่อนข้างร้อน เดินเรียกเหงื่อแต่เช้าเลยค่ะ

เจ้าแม่กวนอิม วัดหลินอึ๋ง
เจ้าแม่กวนอิม วัดหลินอึ๋ง

เมื่อเดินทางมาถึงก็จะได้มาถ่ายรูปรวมกลุ่มเป็นที่ระลึกก่อนที่จะเดินทางไปที่ตลาดฮาน ซึ่งเป็นเป็นตลาดที่รวบรวมสินค้ามากมายเป็นที่นิยมทั้งชาวเวียดนามและชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเวียดนาม หมวก รองเท้า กระเป๋า กาแฟ ของแห้งจำพวกเม็ดบัว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ สินค้าพื้นเมือง โดยเฉพาะงานฝีมือ อย่างเช่นภาพผ้าปักมือ โคมไฟ กระเป๋าปัก ตะเกียบไม้แกะสลัก ชุดอ๋าวหย่ายที่นี่ก็มีขายค่ะ นอกจากนี้ภายในตลาดก็จะมีอาหารพื้นเมืองของเวียดนามให้ได้ทานด้วยค่ะ ทั้งเฝอและกาแฟที่เป็นของขึ้นชื่อของเวียดนาม ใครที่สนใจก็สามราถแวะทานได้เลยค่ะ สำหรับใครที่จะซื้อของแห้งกลับไป แนะนำว่าก่อนที่จะซื้อให้ลองชิมดูก่อนนะคะ เพราะว่าสินค้าของบางร้านที่ได้นำมาขายก็จะเป็นสินค้าที่เก็บเอาไว้นานก็จะมีกลิ่นหืนค่ะ ดังนั้นจึงเลือกซื้อกันดีๆ นะคะ ทางไกด์ก็จะให้เวลาในการเลือกซื้อสินค้าอย่างอิสระประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะพาไปที่สนามบิน Danang International Airport เพื่อเดินทางกลับประเทศไทยค่ะ

ตลาดฮาน
ตลาดฮาน

ก่อนจะเดินทางกลับก็จะมีขนมปังเวียดนามหรือที่รียกว่าบั๋นหมี่แจกให้ทานรองท้องคนละ 1 ชิ้นค่ะ ขนมบั๋นหมี่ก็เป็นขนมปังฝรั่งเศสทรงสั้นที่มีไส้ข้างในเป็นหมูยอ แฮม แตงกวา ผักชี แคร์รอต และผักอีกหลายชนิด รสชาติของบั๋นหมี่ก็จะออกไปทางจืด ค่อนข้างทานง่าย แต่คงไม่ถูกใจคนที่ไม่ทานผักแน่นอนค่ะ เพราะว่าเขาใส่ผักมาให้ทานแบบจุใจเลยค่ะ เมื่อถึงสนามบินก็ได้เวลาเช็คเอาท์เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับไปพร้อมกับความประทับใจจากการมาทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืนค่ะ

บั๋นหมี่
บั๋นหมี่

คำแนะนำในการเดินทางไปทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน

เอกสารที่ใช้ในการเดินทาง

  1. พาสปอร์ตที่มีอายุคงเหลือ 6 เดือนขึ้นไป

การแลกเงิน

ที่ประเทศเวียดนามจะใช้เงินสกุลดอง (VND) หรือบางจุดอย่างเช่นตลาด ร้านขายของต่างๆ ก็สามารถรับเป็นเงินบาทไทยได้ค่ะ แนะนำให้แลกได้ที่ Superrich สาขาใกล้บ้าน หรือว่าจะแลกที่ธนาคารก็ได้ค่ะ ใครที่ไม่ใช่สายช็อปปิ้งแนะนำแลกเงินไป 5,000 บาทก็พอค่ะ แต่ถ้าแลกเงินไปไม่พอจริงๆ ก็สามารถแลกเพิ่มกับไกด์ได้เลยค่ะ ข้อควรระวังคือไม่ควรนำเงินตราต่างประเทศติดตัวเข้าเวียดนามเกินกว่า 2,000 USD ถ้าเกินจะต้องสำแดงที่สนามบินค่ะ

Sim Internet

ซิมที่ใช้ในการเดินทางก็สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์เครือข่ายโทรศัพท์มือถือใกล้บ้านได้เลยค่ะ ส่วนใครที่ไม่อยากซื้อซิมใหม่ ก็สามารถเปิด International Roaming กับทาง Call Center หรือติดต่อศูนย์เครือข่ายโทรศัพท์ที่ได้ใช้บริการในขณะนั้นได้เลยค่ะ หรือสามารถซื้อซิม VIETTEL ของเวียดนามที่ไกด์ท้องถิ่นได้ในราคาประมาณ 400 บาทค่ะ

สภาพอากาศ

ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศคล้ายกับประเทศไทยค่ะ อากาศจะค่อนข้างร้อน และเนื่องจากอยู่ติดกับทะเล ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเจอฝนได้ตลอดเวลา ใครที่จะเดินทางมาเวียดนามก็อย่าลืมเช็คสภาพอากาศและเตรียมร่มหรือเสื้อกันฝนไปเผื่อด้วยนะคะ

ระบบไฟฟ้าและปลั๊กไฟ

ที่เวียดนามใช้ปลั๊กหัวแบบเดียวกันกับประเทศไทย ลักษณะจะเป็นปลั๊กขาแบน 2 ขา ส่วนกระแสไฟฟ้าที่เวียดนามใช้แบบมาตรฐาน 220V เหมือนกับประเทศไทยเลยค่ะ ใครที่มีอุปกรณ์ที่ต้องชาร์จเยอะแนะนำพกปลั๊กพ่วงหรือปลั๊กสามตาไปด้วยนะคะ

แบตเตอรี่สำรองหรือ Power Bank

ห้ามนำ Power Bank ใส่กระเป๋าเดินทางโหลดใต้เครื่อง แต่สามารถนำใส่กระเป๋าถือขึ้นเครื่องได้ค่ะ โดยจะมีเงื่อนไขดังนี้

  • Power Bank ที่ใส่กระเป๋าถือขึ้นเครื่องต้องมีขนาดความจุไฟฟ้าไม่เกิน 32,000 mAh
  • Power Bank ที่มีความจุไฟฟ้า 20,000 mAh (หรือน้อยกว่า 100 Wh) สามารถนาขึ้นเครื่องได้ ไม่จำกัดจำนวน
  • Power Bank ความจุไฟฟ้า 20,000-32,000 mAh (หรือระหว่าง 100-160 Wh) นาขึ้นบนเครื่องได้ไม่เกิน 2 ก้อน
  • Power Bank ขนาดความจุไฟฟ้ามากกว่า 32,000 mAh (หรือมากกว่า 160 Wh) จะไม่ได้รัสามารถนำขึ้นเครื่องได้

ภาษา

คนเวียดนามจะพูดภาษาเวียดนามกันค่ะ แต่ก็จะมีบางส่วนที่ฟังและพูดภาษาอังกฤษกับภาษไทยได้ค่ะ ใครที่กังวลในเรื่องของการสื่อสาร สามารถใช้ภาษามือ เปิดรูปให้ดู หรือใช้ Google Translate ได้เลยค่ะ

เวลา

เวลาที่เวียดนามจะตรงกับเวลาที่ไทยเลยค่ะ จึงไม่ต้องเปลี่ยนเวลากันให้ลำบากค่ะ

สรุป

เวียดนามกลางเป็นประเทศที่มีที่เที่ยวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งชุมชน ร้านค้า สถานที่สำคัญทางศาสนา หรือสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โปรแกรมทัวร์ก็จะมีหลากหลายช่วงเวลา จะมีทั้ง 3 วัน 2 คืน และ 4 วัน 3 คืน ใครที่มีเวลาเยอะก็อยากจะแนะนำเป็นทัวร์เวียดนามกลาง 4 วัน 3 คืน เพราะว่าจะได้เก็บที่เที่ยวครบทั้ง 3 เมือง เมืองเว้ ดานัง ฮอยอัน และได้พักบนบานาฮิลล์ 1 คืนอีกด้วยค่ะ ใครที่สนใจทัวร์เวียดนามกลาง ก็สามารถคลิกที่ลิงก์เพื่อดูโปรแกรมทัวร์เพิ่มเติมหรือแอด LINE ID : @lovelysmiletour เพื่อสอบถามเพิ่มเติมได้เลยค่ะ

แชร์บทความนี้