วัดคินคะคุจิ นั้นตั้งอยู่ที่เมืองเกียวโตที่นอกจากจะเป็นเมืองที่มีความเก่าแก่และมีมรดกทางวัฒนธรรมอยู่เยอะมากมายแล้วนั้น ยังมีอีก 1 สถานที่ที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองและเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่ทัวร์ญี่ปุ่นนิยมไปเที่ยวนั่นก็คือวัดแห่งนี้เองค่ะ วัดแห่งนี้ที่คนไทยเรียกกันจนติดปากว่า “วัดทอง” หรือวัด “พลับพลาทอง” โดยวัดที่สวยงามแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เป็นวัดที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองเกียวโตมาอย่างยาวนานและได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การ UNESCO ให้เป็นมรดกโลกเป็นที่เรียบร้อย วัดคินคะคุจินั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนานแค่ไหนและมีความสำคัญยังไง รวมไปถึงวัดนี้จะสวยงามขนาดไหน วันนี้จะเรามาชมไปพร้อม ๆ กันค่ะ
1.ประวัติความเป็นมา
วัดคินคะคุจิหรือวัดทอง ( Golden Pavilion ) นั้นที่หลาย ๆ คนอาจคุ้นตาว่าเคยเห็นวัดนี้ที่ไหนใช่มั้ยหล่ะคะ วันนี้นั้นเป็นโลเคชั่นหลักของการ์ตูนชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ชื่อเรื่องว่า “อิคคิวซัง” นั่นเองค่ะ โดยวัดแห่งนี้มีชื่อทางการและเป็นที่รู้จักของคนในท้องถิ่นนั่นก็คือชื่อวัดว่า “วัดโรกูอนจิ” ที่ความหมายว่า “วัดสวนกวาง” ค่ะ จุดเด่นของวัดนี้คือตัวศาลาที่มีสีเหลืองทองอร่าม บริเวนรอบ ๆ เป็นสระน้ำ และป่าต้นสนสีเขียว ทำให้มองมุมไหนก็สวยงามมาก ๆ โดยเมื่อย้อนกลับไปในอดีตนั้น วัดแห่งนี้เป็นคฤหาสน์ของ โชกุน อาชิคางะ ที่อยากอุทิศให้เป็นวัดในนิกายเซนในช่วงบั้นปลายของชีวิต แต่ท่านโชกุนได้เสียชีวิตลง ปี ค.ศ.1408 ซะก่อน แต่ลูกชายของเขาก็ได้สานต่อเจตนารมณ์ไว้ และตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า วัดคินคะคุจิ ค่ะ
โดยวัดคินคะคุจินั้นสร้างมาตั้งแต่ปี 1397 และในปี 1950 นั้นได้รับความเสียหายจากสงครามโอนิน หลายต่อหลายครั้ง และนอกจากนี้ในปี 1950 นั้น วัดแห่งนี้ยังเคยมีพระรูปหนึ่งได้พยายามฆ่าตัวตายโดยการเผาศาลาของวัดแต่ก็รอดชีวิตออกมาได้ เหตุการณ์นี้ก็ทำให้วัดแห่งนี้เสียหายเยอะทีเดียวค่ะ แต่วัดแห่งนี้ก็ได้รับการบูรณะเรื่อยมาจนสวยงามในปัจจุบัน และยังได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESGO ในปี 1994 อีกด้วย จึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของทัวร์เกียวโตค่ะ
2.ลักษณะของวัด
ศาลาของวัดแห่งนี้นั้นมีลักษณะเป็นอาคารไม้และมีทั้งหมด 3 ชิ้นค่ะ มีความสูงประมาณ 12.5 เมตร และจะใช้การออกแบบที่แตกต่างกันในแต่ละชั้นของศาลา นัั่นก็คือ
ชั้นที่ 1 โฮซุยอิน (Hossui-in) สร้างแบบ Shineden-Zakuri โดยเป็นงานสถาปัตยกรรมที่ใช้ก่อสร้างพระราชวังในสมัยเฮอัน ตกแต่งด้วยไม้และผนังปูนสีขาว ด้านในชั้น 1 มีพระพุทธรูป ซากะ และรูปปั้นของโชกุน โยคิมิสึ แต่ในปัจจุบันไม่อนุญาตให้นักท่องที่ยวเข้าชมในตัวอาคารแล้วค่ะ แต่นักท่องเที่ยวก็สามรถมองลอดเข้ามายันในหน้าต่างที่เปิดไว้ได้ค่ะ
ชั้นที่ 2 โชฮอนโด (Cho’on-do) สร้างในแบบ Bukka-zakuri เป็นชั้นที่เป็นรูปแบบบ้านของซามูไร ใช้จัดพิธีชงชา และพบปะสังสรรค์กับสหายของท่านโชกุน ด้านนอกปิดด้วยทองคำเปลวสีเหลืองทองอร่ามทั่วชั้น ด้านในมีพระพุทธรูป Kanna และจักดิพรรดิ์ทั้ง 4 องค์ ในชั้นนี้แน่นอนว่าไม่สามรถเข้าชมได้เช่นกันค่ะ
ชั้นที่ 3 คูเคียวโช (Kukkyo-cho) สร้างในรูปแบบเซน-จีน ด้านบุนสุดของหลังคามีนกฟินิกซ์สีทองเด่นสง่าสวยงาม
นอกจากตำหนักทองแล้ว บริเวรรอบ ๆ ตัววัด ยังมีจุดที่น่าสนใจให้เที่ยวชมหลายอย่างอีกด้วยค่ะ โดยเฉพาะสวนแบบเซนขนาดใหญ่ ที่มีเนื้อที่เยอะแยะมากมายและให้ความร่มรื่นแก่นักท่องเที่ยว โดยแต่ละฤดูจะนั้นจะมีความสวยงามแตกต่างกัน บ่อน้ำขนาดใหย่รอบศาลาที่สะท้อนเงาของต้นไม้ และบริเวณรอบๆยังมีจุดจำหน่ายของฝาก รวมไปถึงเครื่องรางต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อและบูชาอีกด้วยค่ะ เมื่อเดินตามทางเรื่อยๆ จะเจอกับศาลา Fudo-do-hall ที่มีกล่องและที่โยนเหรียญ ให้นักท่องเที่ยวสามารถขอพรได้บริเวณนี้ค่ะ
3.จุดไฮไลท์
จุดที่ 1
โดยหันหน้ามาทางสระใหญ่ จะทำให้เห็นตัวศาลาวัดได้อย่างสวยงาม เรียกได้ว่าเป็นจุดชมวิวยอดฮิตของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ค่ะ มุมนี้จะได้เห็นตัวศาลาวัดที่สะท้อนกับแสดงแดดและผิวน้ำ ด้านข้างจะล้อมไปด้วยเต็มสีเขียวของต้นสนและต้นไม้อื่นๆ ซึ่ง 3 สิ่งนี้จะทำให้ศาลาวัดแห่งนี้สวยงามมากทีเดียวค่ะ
จุดที่ 2
สวนต่าง ๆ ของวัดนี้จะถูกจัดแต่งอย่างสวยงาม และได้รับการดูและอย่างดี มีทั้งต้นไม้สีเขียว บ่อน้ำต่าง ๆ รอบ ๆ บริเวณวัด ให้นักท่องเที่ยวสามารถมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจได้ค่ะ
จุดที่ 3
อดีตที่พำนักของเจ้าอาวาส หรือเรียกกันว่า ศาลา Fudo-do-hall ที่พูดไปข้างต้นนั่นเองค่ะ สถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวสามารถมาขอพรต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะเรื่องเรียนและเรื่องความรักค่ะ
4.ฤดูที่เหมาะแก่การท่องเที่ยว
วัดแห่งนี้นั้นสามารถมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปีเลยค่ะ ไม่มีฤดูไหนที่ปิดให้ครเข้าชม ใครอยากมาฤดูไหนก็สามารถมาชมความสวยงามของศาลาวัดสีทองนี้ได้ โดยนักท่องเที่ยวจะหนาแน่นตลอดทั้งปี ทั้งคนท้องถิ่น นักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมไปถึงกรุ๊ปทัวร์ต่าง ๆ อยู่ที่ว่าใครชอบสีสันแบบไหน บรรยากาศยังไง วันนี้มีตัวอย่างมาให้ชมทั้ง 4 ฤดูเลยค่ะ
ฤดูหนาว
ฤดูหนาวของญี่ปุ่นจะอยู่ในช่วงท้ายปี-ต้นปีค่ะ ในเดือน ในช่วงเดือนธันวา – กุมภาพันธ์นั้น ที่อากาศอาจจะเย็นไปสักหน่อย โดยอุณหภูมิของประเทศญี่ปุ่นอาจถึงขั้นติดลบเลยก็ว่าได้ค่ะ แต่การมาเที่ยวที่วัดแห่งนี้ในฤดูหนาวก็ก็ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียวค่ะ เพราะถ้าวันไหนมีหิมะก็จะเห็นศาลาสีเหลืองทองเด่นอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ รวมไปถึงต้นไม้รอบ ๆ ก็จะมีแต่สีขาวของหิมะปกคลุมไปทั่ว เรียกได้ว่าสวยงามมากเลยค่ะ
ฤดูใบไม้ผลิ
ใครที่ชื่นชอบความสดชื่นกับอากาศที่เย็นกำลังดี ไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไปก็แนะนำเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิในช่วงปลายมีนา-เมษาค่ะ จะได้เห็นใบไม้สีเขียวสดใสพร้อมกับแสงแดดอ่อน ๆ เรียกได้ว่าบรรยากาศดีสุด ๆ ไปเลยค่ะ ฤดูใบไม้ผลินั้นอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคมค่ะ ใครที่แวะชมซากุระสวย ๆ ของเมืองเกียวโตแล้วก็สามารถแวะเข้าชมวัดที่สวยงามนี้กันได้ค่ะ
ฤดูใบไม้ร่วง
ส่วนใครที่ชอบบรรยากาศและความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีก็แนะนำเป็นช่วงกันยา-พฤศจิกายนค่ะ ตัวศาลาของวัดสีทองตัดกับใบไม้สีแดง ส้ม และเหลืองก็สวยไปอีกแบบ เรียกได้ว่าฤดูนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาท่องเที่ยวกันเยอะมาก ๆ ค่ะ เป็นวิวที่มีสีสันสวยงามหลากหลาย เหมาะแก่การมาถ่ายรูปเช็คอินสวย ๆ ค่ะ โดยฤดูไบไม้ร่วงจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายนค่ะ
ฤดูร้อน
ส่วนใครที่เป็นคนที่ชอบอากาศร้อน ๆ ในช่วงโลว์ซีซั่นก็แนะนำช่วงกลางปีค่ะ แน่นอนว่าฤดูนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นแต่ว่าแสงแดดที่ค่อนข้างแรงของช่วงนี้จะทำให้วัดคินคะคุจินั้นสวยงามยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ เพราะอาคารสีทองของวัดแห่งนี้จะสวยงามมาก ๆ ในช่วงที่มีแสงแดดจ้า แสงแดดนั้นจะสะท้อนกับตัวศาลาวัดที่เป็นสีทองและกระทบกับผิวน้ำอีกที ทำให้อาคารนี้ที่มีความสวยงามอยู่แล้วยิ่งสวยกว่าเดิมอีกไปอีกค่ะ ใครชื่นชอบช่วงฤดุร้อนของญี่ปุ่นก็มาได้ในช่วงเดือน มิถุนายน – สิงหาคมค่ะ แต่อาจต้องเช็คสภาพอากาศดี ๆ สักหน่อย เพราะอาจมีฝนตกได้เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของญี่ปุ่นั้นเป็นเกาะนั่นเองค่ะ
แต่เพราะความสวยงามของวัดแห่งนี้ทำให้มีนักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวชมกันเยอะมาก อาจจะต้องระวังเรื่องคนเยอะสักนิดนึงค่ะ และแนะนำให้ไปในช่วงวันธรรมดาค่ะ
5.ที่ตั้งของวัด
วัดคินคะคุจิน 1 Kinkakujicho, Kita Ward, Kyoto, 603-8361 ประเทศญี่ปุ่น
6.การเดินทาง
การเดินทางไปวัดแห่งนี้มีหลากหลายวิธีค่ะ โดยสามารถเดินทางมายังวัดนี้ได้ทั้งการขึ้นรถบัส การขึ้นรถไฟ และรถแท็กซี่ นักท่องเที่ยวสะดวกแบบไหนก็สามารถเลือกได้ตามใจเลยค่ะ
เดินทางด้วยรถบัส
จากสถานีเกียวโต ขึ้นรถบัสป้าย Kyotoeki-mae สาย 101, 205 แล้วไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi
จากสถานี Kitaoji ขึ้นรถบัสป้าย Kitaoji bus terminal สาย 101, 102, 204, 205 แล้วไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi
จากวัด Kiyomizu ขึ้นรถบัสป้าย Kiyomizu-michi สาย 206 แล้วไปลงที่ป้าย Rakuhoku koko-mae เพื่อเปลี่ยนไปต่อรถบัสสาย 204, 205 แล้วไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi
จาก Gion ขึ้นรถบัสที่ป้าย Gion สาย 12 แล้วไปลงที่ป้าย Kinkakuji-mae
จากวัด Ginkakuji ขึ้นรถบัสที่ป้าย Ginkakuji-michi สาย 102, 204 แล้วไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi
เดินทางโดยรถไฟ : รถไฟสาย JR kyoto เลือก Ruku Bus สาย 101 แล้วนั่งไปลงป้าย KinKujimichi
เดินทางด้วยรถแท็กซี่ : วิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดเลยค่ะ สามารถเรียกแท็กซี่ได้ที่เว็บไซต์ของเมืองเกียวโต คลิ้ก
7.เวลาเปิดบริการ
- เวลาเปิด-ปิด
9:00-17:00 (ปิดประตู) เปิดบริการทุกวัน จันทร์ – อาทิตย์
8.ราคาบัตรเข้าชม
ผู้ใหญ่ 400 เยน | ประถมและมัธยมต้น 300 เยน
สรุป
เมืองโตเกียวนั้นนอกจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานแล้วนั้น ยังมีวัดแห่งนี้ให้นักท่องเที่ยวได้ชมความสวยงามตามแบบฉบับญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ทั้งสวยงาม และมีความสำคัญมาก ๆ ของญี่ปุ่นค่ะ หากใครสนใจจะมาเที่ยวที่วัดแห่งนี้สามารถมาได้เลยค่ะ ทาง Lovely Smile Tour มี ทัวร์เกียวโต มากมายให้เลือก หากใครสนใจสามารถแอดไลน์มาสอบถามได้เลยค่ะ