หากท่านสนใจอยากไปชมธรรมชาติจีนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมรดกโลก ขอแนะนำที่นี่เลย อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว (Jiuzhaigou National Park) เป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO และเป็นที่รู้จักกันในนาม “สวรรค์บนดิน” ด้วยความงดงามของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สถานที่เที่ยวแห่งนี้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทัวร์จีนจำนวนมาก จะสวยงามแค่ไหน ดูรีวิวกัน
1. ข้อมูลภาพรวมของจิ่วจ้ายโกว
จิ่วจ้ายโกว” แปลว่า “หุบเขาเก้าหมู่บ้าน” (Nine Village Valley) ซึ่งหมายถึง หมู่บ้านของชาวทิเบต 9 หมู่บ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองชนชาติอาปาและชนชาติเชียง และชนชาติทิเบต มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นหุบเขาที่เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งและแผ่นดินไหว ทำให้เกิดทะเลสาบน้ำใสสีมรกตและน้ำตกหลายระดับชั้น สีของน้ำในทะเลสาบจะเปลี่ยนไปตามความเข้มข้นของแร่ธาตุ แสงแดด และฤดูกาล

2. ไฮไลท์สำคัญ
2.1 ทะเลสาบสีฟ้าคราม
ในอุทยานมีทะเลสาบมากกว่า 108 แห่ง ที่มีความสวยงามแตกต่างกัน โดยทะเลสาบที่นิยมไปมีอยู่ 6 ทะเลสาบ ดังนี้
1) ทะเลสาบยาว (Long Lake)
เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดและลึกที่สุดในอุทยานจิ่วจ้ายโกว ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ มีความยาวประมาณ 7.8 กิโลเมตร และลึกถึง 103 เมตร ตั้งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,042 เมตร ทำให้มีทิวทัศน์ที่สวยงามตระการตา ล้อมรอบด้วยต้นสนซีดาร์ และน้ำในทะเลสาบเกิดจากหิมะละลายจากภูเขามีลักษณะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว น้ำใสสีฟ้าสวยงาม และเมื่อมองจากระยะไกลจะสะท้อนภาพภูเขาและธรรมชาติโดยรอบอย่างงดงาม เป็นจุดท่องเที่ยวทัวร์จิ่วจ้ายโกวแรกๆ ที่รถบัสรับส่งในอุทยานมักจะพาไป และเป็นจุดที่อยู่บนสุดของอุทยานทางด้านซ้าย


2) ทะเลสาบห้าสี (Five Flower Lake)
ทะเลสาบแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “แก่นแท้ของทิวทัศน์จิ่วจ้ายโกว” (Essence of Jiuzhaigou Scenery) และดึงดูดนักท่องเที่ยวและช่างภาพจำนวนมาก ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก บางครั้งจะเรียกว่า “ทะเลสาบดอกไม้ห้าสี” ได้ชื่อนี้มาจากสีสันอันหลากหลายของน้ำในทะเลสาบที่ดูคล้ายดอกไม้หลายสีผสมกัน สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,472 เมตร ความลึกเฉลี่ยประมาณ 5 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 90,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 56 ไร่ บริเวณเหนือกว่าน้ำตกหาดไข่มุก (Pearl Beach Waterfall) และต่ำกว่าทะเลสาบแพนด้า (Panda Lake)

สีสันอันแปลกตาและหลากหลายของน้ำในทะเลสาบเกิดจากการรวมตัวกันของปัจจัยหลายอย่าง เช่น การสะสมของตะกอนหินปูนที่ก้นทะเลสาบ, สาหร่ายหลากหลายชนิด และพืชน้ำที่เจริญเติบโตอยู่ใต้น้ำ สีที่ปรากฏในทะเลสาบมักจะเป็นสีฟ้าคราม เขียวมรกต ม่วงอ่อน เหลือง และน้ำตาล ทำให้ดูเหมือนทะเลสาบแห่งสายรุ้ง นอกจากนี้ น้ำในทะเลสาบมีความใสมาก จนสามารถมองเห็นท่อนไม้และซากต้นไม้โบราณที่จมอยู่ใต้น้ำได้อย่างชัดเจน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทิวทัศน์รอบทะเลสาบจะยิ่งงดงามเป็นพิเศษ ด้วยสีสันของใบไม้ที่เปลี่ยนสีเป็นเฉดต่างๆ สะท้อนลงบนผิวน้ำ ทำให้เกิดภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด อีกทั้ง คนท้องถิ่นเชื่อว่าทะเลสาบห้าสีเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
3) ทะเลสาบแพนด้า (Panda Lake)
ทะเลสาบแพนด้า (Panda Lake หรือ 熊猫海 Xióngmāo Hǎi) เป็นอีกหนึ่งทะเลสาบที่สวยงามและมีชื่อเสียงในอุทยานแห่งนี้ ตั้งอยู่สูงกว่าทะเลสาบห้าสีเล็กน้อย อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,587 – 2,590 เมตร มีความลึกเฉลี่ยประมาณ 14 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 90,000 ตารางเมตร (9 เฮกตาร์ หรือประมาณ 56 ไร่) ได้ชื่อว่า “ทะเลสาบแพนด้า” เนื่องจากในอดีตเชื่อกันว่าหมีแพนด้าป่าจะลงมาดื่มน้ำและหาอาหารในบริเวณนี้ เนื่องจากรอบๆ ทะเลสาบมีป่าไผ่ซึ่งเป็นอาหารหลักของหมีแพนด้า แม้ปัจจุบันจะแทบไม่พบหมีแพนด้าในบริเวณนี้แล้ว

นอกจากนี้ บางส่วนของพื้นน้ำในทะเลสาบยังมีลวดลายหินสีขาวแทรกอยู่ในลายสีดำคล้ายกับลายของหมีแพนด้าในวันที่น้ำใสและแสงแดดส่องถึง น้ำในทะเลสาบแพนด้ามีสีสันหลากหลายเช่นกัน โดยทั่วไปจะเห็นเป็นเฉดสีเขียวและน้ำเงินสลับกันอย่างลงตัว ขึ้นอยู่กับสภาพแสงและช่วงเวลาของวัน ความพิเศษของทะเลสาบแพนด้าคือ มีการเชื่อมต่อกับ น้ำตกแพนด้า ที่อยู่ใกล้เคียง ทะเลสาบแพนด้าเป็นหนึ่งในสองทะเลสาบหลักของจิ่วจ้ายโกวที่ผิวน้ำมักจะจับตัวเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว ทำให้เกิดความงดงามไปอีกแบบ
4) ทะเลสาบนกยูง (Peacock Lake)
ทะเลสาบนกยูงตั้งอยู่ในบริเวณ Rize Valley ซึ่งเป็นหนึ่งในสามหุบเขาหลักของอุทยาน มีความยาวประมาณ 310 เมตร สิ่งที่ทำให้ทะเลสาบนี้ได้ชื่อว่า “ทะเลสาบนกยูง” คือ รูปร่างของทะเลสาบที่มองจากมุมสูงแล้วมีลักษณะคล้ายกับนกยูงรำแพน หรือ “นกยูงกำลังแผ่หาง” โดยเฉพาะในช่วงที่น้ำในทะเลสาบนิ่งสงบและสะท้อนทิวทัศน์รอบข้างได้อย่างสวยงาม น้ำในทะเลสาบนกยูงมีความใสเป็นอย่างมาก จนสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำได้ชัดเจน บริเวณน้ำลึกจะมีสีฟ้าอมน้ำเงิน บริเวณน้ำตื้นจะเป็นสีเขียวมรกตสดใส ความใสของน้ำเป็นจุดเด่นสำคัญ ทำให้เห็นซากต้นไม้ที่จมอยู่ใต้น้ำ หรือตะกอนหินปูนที่ก้นทะเลสาบได้อย่างชัดเจน สร้างลวดลายและเฉดสีที่สวยงามแปลกตา

หากจะไปชมความสวยงามที่ทะเลสาบนกยูง แนะนำไปช่วงเดือน ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เป็นช่วงที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ใบไม้รอบทะเลสาบจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม แดง และเหลือง สะท้อนลงบนผิวน้ำที่นิ่งสงบ ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่งดงามตระการตามากที่สุด

5) ทะเลสาบกระจก (Mirror Lake)
เป็นทะเลสาบที่ยาวและแคบ มีพื้นที่ครอบคลุมประมาณ 190,000 ตารางเมตร อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,390 เมตร จุดที่ลึกที่สุดอยู่ที่ 243 เมตร และมีความลึกเฉลี่ยประมาณ 11 เมตร ได้ชื่อว่า “ทะเลสาบกระจก” เพราะผิวน้ำของทะเลสาบมีความนิ่งและใสราวกับกระจกเงา สะท้อนภาพทิวทัศน์โดยรอบได้อย่างสวยงาม ด้วยธรรมชาติโดยรอบทำให้เกิดภาพสะท้อนที่สวยงามจนแทบแยกไม่ออกว่าภาพจริงอยู่บนฟ้าหรือในน้ำ แนะนำให้มาดูช่วงเช้าก่อน 9:00 น. และช่วงบ่ายหลัง 17:00 น. เป็นช่วงที่ลมสงบ ผิวน้ำนิ่งสนิท ทำให้เกิดเงาสะท้อนที่ชัดเจนและงดงามที่สุด

6) ทะเลสาบแรด (Rhinoceros Lake)
ตั้งอยู่ในส่วนของ หุบเขาซู่เจิ้ง (Shuzheng Valley) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามหุบเขาหลักของอุทยานจิ่วจ้ายโกว และเป็นหุบเขาที่อยู่ทางตอนเหนือ (ส่วนขาของตัว Y) ซึ่งเป็นทางออกของอุทยาน สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,315 เมตร มีความลึกโดยเฉลี่ย 12 เมตร มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 200,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 125 ไร่ ทำให้เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อันดับ 2 ของอุทยานจิ่วจ้ายโกว รองจากทะเลสาบยาว (Long Lake) ชื่อ “ทะเลสาบแรด” มีที่มาจากตำนานท้องถิ่นของชาวทิเบตเล่าว่า ในสมัยโบราณมีพระลามะผู้ชราท่านหนึ่งกำลังป่วยหนัก ได้ขี่แรดผ่านมายังทะเลสาบแห่งนี้ และได้ดื่มน้ำจากทะเลสาบนี้จนหายจากอาการป่วย ด้วยความซาบซึ้งในความศักดิ์สิทธิ์ของทะเลสาบ ท่านจึงตัดสินใจอยู่ ณ ที่แห่งนี้พร้อมกับแรดคู่ใจตลอดไป

น้ำในทะเลสาบแรดมีความใสสะอาดและมีสีสันที่หลากหลาย โดยหลักๆ จะเป็นสีเขียวมรกตและสีฟ้าคราม ขึ้นอยู่กับแสงแดดที่ส่องลงมา ความลึกของน้ำ และองค์ประกอบของตะกอนหินปูนใต้น้ำ ซึ่งช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่สวยที่สุด นอกจากนี้ ทะเลสาบแรดยังเป็นเพียงจุดเดียวในหุบเขาซู่เจิ้งที่เคยเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถพายเรือได้
2.2 น้ำตกหลายชั้น
น้ำตกที่โดดเด่นที่สุดคือ น้ำตกธารไข่มุก (Pearl Shoal Waterfall) ซึ่งเป็นน้ำตกที่ไหลลงมาจากธารน้ำกว้างกว่า 310 เมตร และน้ำตกโน่หรื่อหลาง (Nuorilang Waterfall) ซึ่งเป็นน้ำตกที่กว้างที่สุดใน Jiuzhaigou

2.3 ป่าไม้และภูเขา
สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นป่าทึบและภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะในบางฤดู ทำให้ทิวทัศน์สวยงามแตกต่างกันไปตามฤดูกาล เหมาะกับการเดินเล่นถ่ายรูปสวยๆ

2.4 หมู่บ้านทิเบต
ในปัจจุบัน เมื่อนักท่องเที่ยวเข้าชมอุทยานจิ่วจ้ายโกว ส่วนใหญ่จะไม่สามารถเข้าไปในหมู่บ้านทิเบตดั้งเดิมทั้ง 9 แห่งได้โดยตรง เนื่องจากหลายแห่งเป็นเขตที่อยู่อาศัยส่วนตัวและมีข้อจำกัดเพื่อรักษาธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม มีหมู่บ้านบางแห่งที่ยังคงเป็นจุดแวะให้สัมผัสวัฒนธรรมได้ หรือเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางท่องเที่ยว ซึ่งท่านจะนั่งรถผ่านหมู่บ้านทิเบตในช่วงเข้าไปภายในอุทยานและสามารถแวะถ่ายรูปสวยๆ ได้ โดยบริเวณด้านหน้าหมู่บ้านทิเบตจะมีสถูปและระฆังให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปขอพร และภายในหมู่บ้านทิเบตยังมีร้านขายของกิน ขายสินค้าพื้นเมืองให้ช้อปปิ้งอีกด้วย



ทั้งนี้ การท่องเที่ยวภายในอุทยาน ขึ้นอยู่กับเวลา สภาพอากาศหน้างาน และปริมาณนักท่องเที่ยวด้วย ว่าจะสามารถเก็บสถานที่ท่องเที่ยวได้กี่ที่ โดยเฉพาะช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมา ปริมาณนักท่องเที่ยวจะเยอะมาก รถอุทยานจะรอคิวค่อนข้างนาน
3. ฤดูกาลที่น่าไป
Jiuzhaigou สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ฤดูกาลที่นิยมไปจะมีอยู่ 2 ฤดูคือ ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว มาดูกันว่าแต่ละฤดูมีสภาพอากาศน่าเที่ยวแค่ไหน
3.1 แนะนำ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (ตุลาคม-พฤศจิกายน)
เป็นช่วงที่สวยที่สุด ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม เหลือง ตัดกับน้ำสีฟ้าครามของทะเลสาบ อีกทั้ง อากาศไม่หนาวจนเกินไป ประมาณ 10-20 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่มีปริมาณนักท่องเที่ยวมากที่สุด

3.2 ฤดูหนาว (ธันวาคม-มีนาคม)
สำหรับท่านที่ชอบหิมะ ชอบอากาศหนาวๆ แนะนำมาในฤดูกาลนี้เลย ท่านจะได้สัมผัสกับอุณหภูมิต่ำประมาณ -5 ถึง 5 องศาเซลเซียส หิมะปกคลุม น้ำตกบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง ให้บรรยากาศที่เงียบสงบและสวยงามอีกแบบ เป็นอีกฤดูกาลที่แนะนำให้มา บรรยากาศสวยมากๆ

3.3 ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม)
เป็นช่วงที่ป่าไม้เขียวขจี อุณหภูมิประมาณ 20-30 องศาเซลเซียส อากาศจะร้อนและอาจมีฝนตก ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะไม่เยอะมาก

4. การเดินทางภายในอุทยาน
การเดินทางภายในอุทยานจะมี 2 แบบ คือ
4.1 การนั่งรถเวียนของอุทยาน
ซึ่งเป็นรถประจำทางของอุทยานนั่นเอง โดยจะต้องรอคิวตามป้ายต่างๆ และต้องเจอกับปริมาณนักท่องเที่ยวรอคิวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ส่งผลให้อาจเที่ยวภายในอุทยานได้เพียงไม่กี่จุด

4.2 การเหมารถอุทยาน
ซึ่งจะเหมาเป็นรถบัสส่วนตัวนั่นเอง ข้อดีคือ สามารถวางแผนเที่ยวภายในอุทยานได้ ไม่ต้องไปยืนรอคิวที่ป้ายรถเมล์ เหมาะกับลูกค้าที่มาเป็นหมู่คณะ หรือมากับกรุ๊ปทัวร์จิ่วจ้ายโกว โดยค่าเหมารถอุทยานจะมีรถบัส 2 ขนาด ตามตารางด้านล่างนี้
ขนาดรถบัส | ราคาเหมารถต่อวัน |
---|---|
20 ที่นั่ง | 25,000 บาท |
40 ที่นั่ง | 50,000 บาท |
หมายเหตุ ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาเช็คในวันเดินทางอีกครั้ง


5. ร้านอาหารและร้านขายของ
5.1 อาหารบุฟเฟ่ต์ของอุทยาน
หากท่านเดินทางมากับกรุ๊ปทัวร์ ปกติทางไกด์จีนจะพาไปทานอาหารกลางวันที่ฟู๊ดคอร์ท โดยจะมีคูปองอาหารบุฟเฟ่ต์ของอุทยานแจกให้ ซึ่งเมนูอาหารจะเป็นอาหารจีนประเภทผัดผัก ซุป ข้าว ผลไม้ เป็นต้น



5.2 ร้านอาหารในฟู๊ดเซ็นเตอร์ (Jiuzhaigou Food Center)
หากท่านใดอยากมาหาอะไรทานเอง ในฟู๊ดเซ็นเตอร์จะมีร้านอาหารให้เลือกหลายร้าน อาทิเช่น ร้านเบอร์เกอร์-ไก่ทอด BELIKE ร้านบะหมี่จีน ร้านชา ChaPanda ร้านกาแฟ ซึ่งราคาไม่แพง และอร่อยถูกปากอีกด้วย แอบบอกเลยว่า น่าทานกว่าบุฟเฟ่ต์ของอุทยานมากๆ อีกทั้ง นักท่องเที่ยวจะชอบมานั่งทานข้าวรับแสงแดดท่ามกลางอากาศหนาวอีกด้วย





5.3 ร้านค้า ร้านขายของฝาก
บริเวณฟู๊ดเซ็นเตอร์ ยังมีตลาดนัดอยู่ใกล้ๆ โดยมีร้านขายสินค้าพื้นเมือง ร้านขายของฝากให้เลือกซื้อติดไม้ติดมือ หากท่านใดทานอาหารกลางวันเสร็จเร็ว สามารถลองมาเดินดูของได้

6. ข้อมูลเพิ่มเติม
การเดินทาง | โดยทั่วไปนักท่องเที่ยวจะเดินทางไปยังเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวนก่อน จากนั้น จึงต่อเครื่องบินไปยังสนามบิน Jiuzhai Huanglong Airport หรือนั่งรถบัส หรือรถไฟความเร็วสูง |
แผนที่ | กดดูแผนที่ Google Maps |
สรุป
จิ่วจ้ายโกว Jiuzhaigou เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติ การถ่ายภาพ และการสัมผัสความงดงามของภูมิทัศน์ที่หาชมได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดใบไม้เปลี่ยนสี และฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดีและธรรมชาติสวยมาก หากสนใจไปแพ็กเกจทัวร์ สามารถแอดไลน์ไอดี @lovelysmiletour ได้เลย