รีวิวเที่ยวโอซาก้า เกียวโต 5 วัน 3 คืน กับบริษัททัวร์

แชร์บทความนี้

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยมากมายให้ได้ไปเที่ยว ยังมีอาหารอร่อยๆ ให้ได้เลือกทานอีกด้วยค่ะ และญี่ปุ่นมีหลายเมืองให้ได้ไปเที่ยวค่ะ และโอซาก้า เกียวโตก็ถือเป็นอีกเมืองที่หลายๆ คนอยากจะไปเที่ยวให้ได้สักครั้งในชีวิต แต่ก็อาจจะมีบางคนที่กลัวหลง หรือกังวลในเรื่องของที่พักและอาหารการกิน ซึ่งการไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่อยากประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร และหมดกังวลว่าจะหลงหรือไม่ค่ะ วันนี้ก็จะมารีวิวทัวร์โอซาก้า เกียวโต 5 วัน 3 คืน โดยโปรแกรมที่ได้เลือกไปนี้จะมี free day จำนวน 2 วัน เพราะว่าอยากจะลองเที่ยวและนั่งรถไฟเองค่ะ สำหรับใครที่ไม่ต้องการให้มี Free Day โปรแกรมทัวร์ก็จะมีให้เลือกเยอะเลยค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปเริ่มอ่านรีวิวกันเลย

วันที่ 1

วันแรกก็จะเป็นวันของการเดินทางค่ะ พอไปถึงก็จะมีพนักงานมาต้อนรับและมีจุดสังเกตก็คือป้ายต้อนรับนั่นเองค่ะ และจะมีหัวหน้าทัวร์ที่เป็นคนไทยหรือไกด์ไทยคอยดูแลตั้งแต่การเช็คอินและดูแลตลอดทั้งทริป รอบนี้ก็ได้ขึ้นเครื่องของสายการบิน Air Asia X โดยได้ขึ้นเครื่องเวลา 00.55 น.และถึงสนามบินคันไซ เวลา 08.40 น. ของวันที่สองค่ะ

วันที่ 2

เมื่อถึงที่สนามบินคันไซ ก็จะมีไกด์ท้องถิ่นหรือไกด์ญี่ปุ่นอีกหนึ่งท่านที่คอยช่วยดูแลค่ะ จากนั้นก็จะได้ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปที่เกียวโตหรือเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ ใช้เวลาในการนั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที อาจจะดูเหมือนนานนะคะ แต่ว่าการได้นั่งรถคุยกับเพื่อนร่วมทางและนั่งชมวิวธรรมชาติไปด้วย ถือเป็นการฆ่าเวลาได้ดีเลยค่ะ เมื่อเดินทางถึงเกียวโตก็ได้ไปที่เมืองอาราชิยาม่ากันต่อค่ะ พอไปถึงที่เมืองอาราชิยาม่าก็เป็นช่วงเที่ยงพอดี เลยได้แวะทานอาหารกลางวันก่อนเพื่อเติมแรงจะได้พร้อมเที่ยวในที่ต่างๆ

หลังจากทานอาหารเสร็จก็ได้ไปที่ส่วนป่าไผ่อันโด่งดังของเกียวโต นั่นก็คือป่าไผ่อาราชิยาม่า (Arashiyama Bamboo Groves) โดยป่าไผ่นี้ก็จะเป็นเหมือนทางเดินเล็กๆ ที่ตัดผ่านกลางสวนป่าไผ่ สามารถเดินชมวิวของป่าไผ่มากมายหรือปั่นจักรยานก็ได้ค่ะ ภายในป่าไผ่ก็จะมีป่าไผ่ต้นสูงมากมาย มีบรรยากาศที่สงบ สวยงามมากเลยล่ะค่ะ ใกล้ๆ กันกับป่าไผ่ก็จะมีโซนของฝากหรือของพื้นเมืองให้ได้เลือกซื้อด้วยค่ะ

arashiyama bamboo 1
ป่าไผ่ Credit : jrailpass.com

จากนั้นก็ไปเที่ยวต่อกันที่สะพานโทเก็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโออิงาว่าที่มีความยาวถึง 250 เมตร ซึ่งเป็นสะพานที่มีความเก่าแก่ที่ยังคงสภาพเมือนในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เลยค่ะ ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆ ที่นึงของญี่ปุ่นเลยค่ะ มีทั้งวิวของแม่น้ำ ภูเขา ต้นไม้มากมาย และยังมีหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตัวบ้านเป็นเหมือนบ้านในสมัยก่อน ภายในก็จะมีทั้งร้านขายของที่ระลึก และร้านอาหาร ยิ่งถ้าได้มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคงจะโรแมนติกมากค่ะ หรือถ้าใครที่มาในช่วงฟโุใบไม้ผลิ ที่นี่ก็เป็นสถานที่ชมซากุระที่สวยงามอีกที่นึงเลย

Togetsukyo Bridge 1
สะพานโทเก็ตสึเคียว Credit : japancheapo

หลังจากที่ได้ชมความงามของธรรมชาติแล้วก็ได้ไปเรียนรู้วิธีการชงชาของญี่ปุ่นหรือที่เรียกว่า Sadou กันต่อค่ะ หลายๆ คนอาจจะคิดว่าขั้นตอนในการชงชานั้นจะเยอะและค่อนข้างซับซ้อน แต่ที่จริงแล้วขั้นตอนในการชงชาก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด หลักๆ ก็จะมี 3 ขั้นตอนด้วยกันค่ะ ตั้งแต่การชงชา รับชา และดื่มชาค่ะ โดยแต่ละขั้นตอนก็จะมีความพิถีพิถันอย่างมาก

sadou 1
พิธีการชงชา หรือ Sadou

แล้วก็ถึงเวลาที่จะได้เดินทางกลับไปที่เมืองโอซาก้า จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ จากนั้นก็จะถึงเวลาอิสระช็อปปิ้งที่ย่านชินไซบาชิ (Shinsaibashi) ซึ่งเป็นย่านช็อปปิ้งที่มีความยาวประมาณ 600 เมตร มีร้านค้าต่างๆ มากมาย ทั้งร้านค้าปลีก ร้านแฟรนไชส์ ร้านเครื่องสำอาง ร้านรองเท้า ร้านกาแฟ ร้านอาหาร รวมไปถึงร้าน้สื้อผ้าสตรีทแบรนด์ญี่ปุ่นและต่างประเทศ เรียกได้ว่าเป็นย่านที่ครบจบในที่เดียวเลยค่ะ

shinsaibashi
ย่านชินไซบาชิ Credit : theculturetrip

ใกล้ๆ กันก็จะมีโดทงโบริ ย่านบันเทิงที่อยู่ตลอดแนวถนนเลียบคลองโดทงโบริ ที่นี่จะมีอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่ไม่ว่าใครก็ต้องมาแวะถ่ายรูปกันค่ะ นั่นก็คือป้ายโดทงโบริกูลิโกะหรือป้ายกูลิโกะแมน จะเป็นป้ายไฟนีออนรูปนักวิ่งกรีฑากำลังวิ่งอยู่บนลู่วิ่งนั่นเอง ทางไกด์ก็จะให้เราได้อิสระช็อปปิ้งและทานอาหารตามอัธยาศัยค่ะ ซึ่งก็มีร้านอาหารให้เลือกทานเยอะมาก แต่ว่ามาถึงโอซาก้าทั้งทีจะพลาดทาโกยากิ อาหารท้องถิ่นของที่นี่ไม่ได้โดยเด็ดขาดค่ะ ใครมาแล้วก็อย่าลืมลองหาทาโกยากิทานกันนะคะ หลังจากนั้นก็ถึงเวลาเดินทางเข้าที่พัก ทางไกด์จะแจ้งเวลาและจุดนัดหมายให้ทราบ เพื่อจะได้พาเดินทางเข้าที่พักและพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ

glico
ป้ายโดทงโบริกูลิโกะ Credit : happyjappy

วันที่ 3

วันที่ 3 ก็จะเป็น Free day แต่ละคนก็สามารถไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ตามอัธยาศัยค่ะ จะไม่มีรถและไกด์ให้บริการ แต่ว่าสามารถขอคำแนะนำให้การเดินทางจากไกด์ได้ค่ะ หลังจากทานอาหารเช้าของที่โรงแรมเสร็จแล้ว ทางเราก็เลือกเดินทางไปที่ Universal Studios Japan สวนสนุกชื่อดังที่เป็นที่รู้จักของใครหลายๆ คน ซึ่งเราสามารถซื้อบัตรกับทางทัวร์ได้เลยค่ะ ถือว่าสะดวกสบายสุดๆ

b7f10dc0 26bf 11ec 9bb3 76123ab5f43f 1
Credit : engadget

ภายใน Universal Studios Japan ก็จะมีทั้งหมด 10 โซนด้วยกันค่ะ

โซน Hollywood เป็นโซนที่เรียกได้ว่าเหมือนกับยกฮอลลีวูดมาไว้ที่นี่เลยค่ะ ภายในจะมีเครื่องเล่นมากมาย อย่างเครื่องเล่นยอดนิยม Holly wood Dream the Ride และยังมีโรงภาพยนตร์แบบ 4 มิติที่ฉายหนังชื่อดังจากฮอลลีวูดอีกด้วย

hollywood
โซน Hollywood Credit : therealjapan

โซน New York เป็นโซนที่มีการตกแต่งและจำลองเป็นเมืองต่างๆ ในนิวยอร์ก ที่เป็นฉากในการถ่ายภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Spiderman ภายในยังมีเครื่องเล่นที่เด่นๆ อย่าง Adventures of spider Man ด้วยค่ะ และนอกจากนี้ยังมีโรงภาพยนตร์ 3 มิติ ให้ได้ชมกันด้วยค่ะ

SpiderMan
โซน New York Credit : therealjapan

โซน San Francisco เป็นโซนที่ได้จำลองเมืองท่าของซานฟรานซิสโก ภายในก็จะมีร้านค้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร หรือร้านขายของที่ระลึก

sanfrancisco 2
โซน San Francisco Credit : eunicetan

โซน Jurassic Park เป็นโซนที่แฟนหนังเรื่อง Jurassic World ไม่ควรพลาดเลยค่ะ เพราะว่าในนี้จะเต็มไปด้วยไดโนเสาร์มากมาย ทั้งกินพืชและกินเนื้อ บรรยากาศภายในก็เหมือนกับว่าได้เดินทางย้อนเวลาไปกลับไป 165 ล้านปีก่อนเลยค่ะ ที่นี่มีเครื่องเล่นที่หวาดเสียวอย่าง The flying Dinosaur เป็นรถไฟเหาะที่ม้วนไปมา และยังมีล่องเรือหนีไดโนเสาร์ที่สุดจะหวาดเสียวด้วยการดิ่งจากความสูง 25 เมตรอีกด้วยค่ะ

jurassic 1
The flying Dinosaur Credit : thegaijinghost
jurassic 2
Credit : fatmumslim

โซน Minion Park เป็นโซนที่ตกแต่งในธีมของเจ้าตัวการ์ตูนสุดน่ารักอย่างมินเนี่ยน จุดที่ต้องแวะมาถ่ายรูปกันก็จะเป็นบ้านของมินเนี่ยนค่ะ เพราะว่ามีความเหมือนจริงสุดๆ เหมือนหลุดออกมาจากในการ์ตูนเลยล่ะค่ะ ใครที่ชอบมินเนี่ยนรับรองว่าถูกใจแน่นอน

Minions
โซน Minion Park Credit : therealjapan

โซน Water World เป็นโซนที่ตกแต่งเป็นธีมหนัง Water World ใครที่เคยดูหนังเรื่องนี้ก็คงจะจำได้ใช่ไหมคะ ว่าหนังเรื่องนี้สนุกมากแค่ไหน และอาจจะเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆ คนเลยค่ะ ภายในก็จะมีโชว์ให้ได้ชม ซึ่งมีความสนุก มันส์ เหมือนกับในหนังเลยล่ะค่ะ

waterworld 1
โซน Water World Credit : th.trip

โซน Amity Village (Jaws) โซนนี้ก็จะตกแต่งเป็นธีมท้องทะเล เหมือนกับในหนังเรื่อง Jaws เหมือนได้อยู่ในหนังจริงๆ เลยค่ะ ที่นี่ก็จะมีให้ล่องเรือผ่านฉลามยักษ์ สำหรับใครที่จะมาเล่นเครื่องเล่นที่โซนนี้ก็อย่าลืมเตรียมเสื้อกันฝนกันด้วยนะคะ

jaws
โซน Amity Village (Jaws) Credit : littletoybrush

โซน Universal Wonderland เป็นโซนที่น่าจะถูกใจเด็กๆ มากเลยค่ะ เพราะว่าที่โซนนี้จะไม่มีเครื่องเล่นที่สูงหรือหวาดเสียว มีตัวการ์ตูนชื่อดังมากมาย อย่างเช่น Snoopy, Hello Kitty และยังมี Elmo จากเรื่อง Sesame Street ด้วยค่ะ

wonderland 2
โซน Universal Wonderland Credit : fatmumslim

โซน The Wizarding World of Harry Potter เป็นโซนยอดนิยมของใครหลายๆ เลยค่ะ เพราะว่าเป็นโซนของหนังพ่อมดแม่มดชื่อดัง ภายในก็จะตกแต่งเป็นธีมหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ มีทั้งปราสาทฮอกวอตส์ ร้านขายของที่ระลึกที่เกี่ยวกับพ่อมดแม่มด และยังมีโซนที่จำลองรถไฟที่นั่งไปยังฮอกวอตส์อีกด้วย ยิ่งตอนกลางคืนรอบๆ ปราสาทก็จะเปิดไฟด้วยค่ะ ได้บรรยากาศมาก และภายในยังมีร้านขายของฝากหรือของที่ระลึกให้ได้เลือกซื้อมากมายอีกด้วย คอหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ห้ามพลาดเด็ดขาด

castle
ปราสาทฮอกวอตส์ Credit : lacesandtiaras
shop
ร้านขายของเกี่ยวกับพ่อมดแม่มด Credit : lacesandtiaras

โซน Super Nintendo World เป็นโซนใหม่ที่ตกแต่งเป็นธีมเกมในวัยเด็กชื่อดัง อย่าง มาริโอ้ค่ะ ภายในจะตกแต่งสมจริงมากเหมือนเราได้หลุดเข้ามาในโลกของมาริโอ้เลยค่ะ โซนนี้จะมีเครื่องเล่น 2 อย่าง นั่นก็คือ Mario Cart กับ Yoshi’s Adventure

image 1
โซน Super Nintendo World Credit : timeout

วันนี้ถือเป็นวันที่ทั้งตื่นเต้นทั้งเหนื่อยเลยค่ะ เพราะว่ากว่าจะได้เข้าเครื่องเล่นแต่ละโซนใช้เวลาในการรอคิวค่อนข้างนานค่ะ และที่นี่มีจุดให้ถ่ายรูปเยอะมากเลยค่ะ ใครที่พาลูกหรือหลานมาเที่ยวที่โอซาก้าล่ะก็อย่าลืมแวะมาที่ Universal Studios Japan กันนะคะ รับรองว่าคุ้มค่าและถูกใจเด็กๆ แน่นอนค่ะ

วันที่ 4

วันที่ 4 ก็เป็น Free day เช่นกันค่ะ วันนี้ได้เลือกไปที่ปราสาทโอซาก้าค่ะ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กที่ใครหลายๆ คนต้องแวะมาเช็คอินเลยค่ะ โดยปราสาทจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 ชั้น ตัวปราสาทถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินคอนกรีต, คูน้ำ และสวนนิชิโนมารุ ซึ่งอยู่ทางป้อมตะวักตกค่ะ โดยที่นี่จะเปิดให้เข้าตั้งแต่เวลา 9:00 – 17:00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 600 เยน ส่วนเด็กนักเรียนที่ต่ำกว่าชั้นมัธยมจะเข้าฟรีค่ะ

ปราสาทโอซาก้า
ปราสาทโอซาก้า Credit : insideoursuitcase

หลังจากได้ไปแวะถ่ายรูปที่ปราสาทโอซาก้าแล้ว ยังมีเวลาเหลือก็เลยไปที่เดินเล่นที่ย่านชินเซไกค่ะ ย่านชินเซไกถือเป็นย่านยอดนิยมของใครหลายๆ คนในโอซาก้าค่ะ พอมาถึงก็จะเจอกับตรอกจันจัน โยโกะโจ เป็นตรอกแคบๆ ที่มีร้านกินร้านดื่มมากมาย และยังเป็นรวมร้านคุชิคัตสึหรืออาหารเสียบไม้และชุบแป้งทอด ซึ่งเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของโอซาก้าเลยค่ะ พอเดินไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นเจอย่านชินเซไก ที่มีนักท่องเที่ยวเดินกันเยอะไปหมดเลยค่ะ ที่ย่านชินเซไกก็มีร้านค้ามากมาย ทั้งร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึกมากมาย และมีร้านอาหารให้ได้เลือกทานกันเยอะเลยค่ะ ภายในย่านชินเซไก ก็จะมีหุ่นคล้ายลิงนั่งยิ้มตามมุมต่างๆ เจ้าลิงพวกนี้เรียกว่าบิลลิเคน ถือเป็นเทพแห่งโชคลาภนั่นเองค่ะ อีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของที่นี่ก็คือหอคอยซึเทนคาดุ เป็นหอคอยที่มีต้นแบบมาจากหอไอเฟลของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของย่านชินเซไกเลยค่ะ ใครที่อยากมาเดินเล่น ซื้อของ หรือหาอะไรทาน ที่ย่านชินเซไกก็ถือว่าตอบโจทย์มากเลยค่ะ

shinsekai
ย่านชินเซไก Credit : osaka-info

วันที่ 5

วันที่ 5 ก็เป็นวันที่เดินทางกลับแล้วค่ะ ตอนเช้าก็จะมีอาหารให้ทานแบบ Box set ค่ะ เพราะว่าบินไฟลท์เช้าและต้องออกก่อนที่ห้องอาหารของโรงแรมจะเปิด จากนั้นก็ถึงเวลาบอกลาโอซาก้าแล้วเดินทางกลับประเทศไทยกันค่ะ ระยะเวลาที่ได้ไปเที่ยวทั้งหมด 5 วัน 3 คืน ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยค่ะ และยิ่งไปกับบริษัททัวร์ด้วยแล้วก็หมดปัญหาเรื่องของที่พัก การเดินทาง และมื้ออาหาร เรียกได้ว่าประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาได้เยอะเลยค่ะ นอกจากนี้ยังได้เจอผู้คนใหม่ๆ อีกด้วยค่ะ ถ้าสนใจทัวร์โอซาก้าก็สามารถกดที่ลิงก์ได้เลยค่ะ

แชร์บทความนี้