บทความนี้เลิฟลี่สไมล์ทัวร์จะพามารู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโตเกียวที่ไม่ว่าใครมาเที่ยวที่นี่ก็ต้องแวะมาเช็คอินหรือว่าแวะมาถ่ายรูปกัน ได้แก่ วัดเซนโซจิ หรือ วัดอาซากุสะ หรือที่นักท่องเที่ยวทัวร์ญี่ปุ่นมักจะเรียกกันสั้นๆว่า วัดโคมแดง นั่นเองค่ะ ทุกคนอาจจะเคยเห็นภาพโคมไฟแดงยักษ์ใหญ่ผ่านๆตากันมาบ้างแล้ว แต่ว่าวัดแห่งนี้จะมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก บทความนี้เลิฟลี่สไมล์ทัวร์จะพามารู้จักวัดนี้กันให้มากขึ้นค่ะ
วัดเซนโซจิ เป็นวัดพุทธที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม หรือ พระโพธิสัตว์คันนน ตามตำนานเล่าว่าเมื่อประมาณปี 628 มีสองพี่น้องที่เป็นชาวประมงได้ออกเรือไปตกปลา และตกรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมได้ที่แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามทิ้งรูปปั้นกลับลงสู่แม่น้ำเท่าไหร่ก็ตาม รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมก็จะกลับมาหาพวกเขาอยู่เสมอ จึงได้มีการสร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมและเปิดให้ชาวบ้านมากราบไหว้ ซึ่งวัดนี้ถูกสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ 645 ถึงต่อมาจะได้ถูกทำลายลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากสงครามสิ้นสุดลงก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวญี่ปุ่นอีกครั้ง และด้วยความที่วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในย่านอาซากุสะ จึงทำให้วัดนี้มีอีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่า วัดอาซากุสะ นั่นเอง ปัจจุบันวัดนี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์และเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองโตเกียวเลยค่ะ เพราะไม่ว่าใครที่มาท่องเที่ยวทัวร์โตเกียวก็ต้องไม่พลาดที่จะมาเช็คอินหรือว่าถ่ายรูปกับโคมไฟแดงยักษ์ใหญ่ที่ประตู Kaminari-Mon หรือที่มีความหมายว่า ประตูสายฟ้า นอกจากจะเป็นที่ที่สามารถมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ยังมีสถานที่อีกหลากหลายโซนภายในวัดให้สามารถเดินชมได้ด้วยนะคะ จะมีโซนอะไรบ้าง ตามไปอ่านที่หัวข้อถัดไปได้เลยค่ะ
เว็บไซต์ทางการ : https://www.senso-ji.jp/
สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆภายในวัด
ภายในวัดจะมีหลากหลายโซนให้สามารถเดินเที่ยวได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโซนร้านค้า โซนสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ หรือโซนสำหรับสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าต่างๆ เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายเลยค่ะ แต่ละโซนจะมีชื่อเรียกและมีความสำคัญอย่างไร ติดตามได้ที่แผนที่ด้านล่างได้เลยค่ะ
โซน A คามินาริมง (Kaminarimon Gate)
เมื่อมาที่วัดก็จะเจอกับประตูทางเข้าที่ชื่อว่า คามินาริมง หรือว่า ประตูสายฟ้านั่นเองค่ะ ประตูทางงเข้านี้จะเป็นที่ตั้งของโคมแดงขนาดยักษ์ที่ถือได้ว่าเป็นจุดเช็คอินหรือจุดไฮไลท์ที่ทำใหัเป็นที่จดจำจากนักท่องเที่ยวและผู้คนมากมายเลยค่ะ โดยโคมไฟนี้มีน้ำหนักมากถึง 700 กิโลกรัมกันเลยทีเดียว ใครที่มาถึงแล้วอย่าลืมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันนะคะ
โซน B โฮโซมง (Hozomon Gate)
เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าคามินาริมงมาแล้ว จะเจอกับโฮโซมง ซึ่งจุดเด่นของที่นี่คือบนชั้นบนของประตูจะจัดเก็บอุปกรณ์สำหรับใช้ในยามเกิดภัยพิบัติเก็บไว้ ถือได้ว่าเป็นสิ่งของที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก และยังมี วาระจิ รองเท้าที่ทำจากฟางขนาดยักษ์ที่มีน้ำหนักมากถึง 2500kg ที่เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ปัดเป่าภัยร้ายโดยเทพเจ้านิโอนั่นเองค่ะ
โซน C คันนนโดะ (Kannondo Hall)
ที่นี่ถือได้ว่าเป็น Main Hall หลักของวัดเลยค่ะ เป็นที่ตั้งของพระโพธิสัตว์คันนน สร้างขึ้นโดยโชกุนโทคุงาวะคนที่ 3 โทคุกาวะ อิเอมิตสึ และได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นสมบัติของชาติ แต่เมื่อปีพ.ศ 2488 ห้องโถงหลักได้ถูกทำลายในการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ในกรุงโตเกียว และถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2501 ด้วยเงินบริจาคจากผู้ศรัทธาทั่วประเทศญี่ปุ่น
โซน D เจดีย์ 5 ชั้น (Five-storied Pagoda)
เป็นเจดีย์ 5 ชั้นที่มีชื่อเสียงอีกที่หนึ่งเลยค่ะ มีความสูงประมาณ 53.32 เมตร เทียบเท่ากับตึกสูง 15~20 ชั้น ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณปีค.ศ 942 ซึ่งเจดีย์แห่งนี้จะสามารถเข้าได้ปีละ 3 ครั้งและต้องลงทะเบียนในการเข้า ซึ่งจะจำกัดคนในการเข้าด้วยค่ะ ภายในเจดีย์จะประกอบไปด้วยห้องหลากหลายห้อง หลักๆแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งส่วนที่เป็นชั้นบนสุดของเจดีย์จะเป็นที่เก็บอัฐิของพระพุทธเจ้า อัฐินี้ได้รับอย่างเป็นทางการมาจากวัดอิสุรุมุณิยะ ประเทศศรีลังกาค่ะ
โซน E โยโคโด (Yogodo Hall)
ที่นี่จะเป็นที่รับของที่ระลึก โกะชุอิน คือ กระดาษที่มีตราประทับชื่อวัดและวันที่ไปสักกระอยู่ด้านบน ซึ่งจะมีสแตมป์ที่เป็นตราประทับของเทพเจ้าคันนนและไดโคคุเต็งที่เป็นหนึ่งในเทพเจ้าแห่งความสุขทั้งเจ็ด ถ้าได้รับตราประทับนี้แล้วก็ถือว่าเราได้มาสักการะพร้อมกับได้ของที่ระลึกแล้วนั่นเองค่ะ
โซน F ยาคุชิโด (Yakushido Hall)
หลังจากที่ไปโยโคโดมาแล้ว ถ้าเดินไปข้างหลังจะเจอกับยาคุชิโดค่ะ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุด โดยถูกสร้างขึ้นเมื่อ 345 ปีที่แล้ว ที่นี่จะเป็นที่บูชาสักการะเทพเจ้าทั้ง 3 องค์ ได้แก่ ยาคุชิเนียวไร, จูนิชินโช และจูโอค่ะ
โซน G อาวะชิมะโด (Awashimado Hall)
เดินเข้าไปในสุดผ่านยาคุชิโดไปแล้วจะเจอกับอาวะชิมะโดค่ะ เป็นที่ที่บูชาสักการะเทพเจ้าอามิดะเนียวไรและอาวะชิมะเมียวจิน โดยในทุก ๆ ปี วันที่ 8 กุมภาพันธ์ จะมีการจัดพิธีฮาริคุโยที่จะนำเอาเข็มที่ใช้จนหักแล้วมาทิ่มบนเต้าหู้และก้อนบุกเพื่อเป็นการทำบุญให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วค่ะ
โซน H เซนิซึกะจิโซโด (Zenizuka Jizo-do Hall)
ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาวะชิมะโดะ ที่นี่ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หลุมฝังเหรียญ เพราะด้านใต้ของเจดีย์จะเงินตั้งแต่สมัยเอโดะฝังไว้นั่นเอง ซึ่งที่นี่จะเด่นในเรื่องของการขอพรด้านการค้าขาย ผู้คนที่ทำอาชีพเกี่ยวกับการค้าจึงนิยมมาสักการะที่เจดีย์แห่งนี้ค่ะ ซึ่งทางขวาด้านหน้าของเจดีย์จะมีรูปปั้น คังคังจิโซ ผู้ที่มาสักการะที่เจดีย์นี้จะนิยมเอาหินมาเคาะที่รูปปั้นเบาๆ ที่ในภาษาญี่ปุ่นจะได้ยินเป็นเสียง คังคัง จึงเป็นที่มาของชื่อรูปปั้นนี้นั่นเองค่ะ
โซน I นิเท็นมง (Nitenmon Gate)
เป็นที่ตั้ง 2 ใน 4 ผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธ จิโคคุเต็งและโซโจเต็ง ซึ่งจะเป็นทางเข้าที่สวยสะดุดตาและถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอีกที่หนึ่งเลยค่ะ
โซน L เบ็นเท็นโด (Bentendo Hall)
เป็น1 ใน 3 เบ็นเท็นที่ใหญ่ที่สุดในคันโตและเป็นที่สักการะบูชาของ โรโจะเบ็นไซเต็ง เทพเจ้าองค์นี้เป็นเทพธิดาที่ได้รับการนับถือว่าเป็นเจ้าแห่งดนตรีและความมั่นคั่งในอินเดียและที่ญี่ปุ่นก็ได้รับการนับถือว่าเป็น 1 ใน 7 ของเทพเจ้าแห่งความสุข ด้านข้างจะมีหอรระฆังที่ดังำปทั่วเมืองอาซากุสะประมาณ 6 โมงเช้าของทุกวันและจะดังขึ้นทุกๆคืนข้ามปี
ถนนนากะมิเสะ (Nakamise)
สำหรับใครที่มาที่วัดแล้วกลัวหิว ไม่ต้องเป็นดังวลเลยค่ะ เพราะว่าภายในวัดมีร้านค้า ร้านอาหารกว่า 90 แห่ง ซึ่งจะเรียกย่านร้านค้านี้ว่า นากามิเสะโดริ นั่นเองค่ะ เมื่อเดินผ่านเข้าประตูคามินาริมงมาแล้วจะพบกับย่านนี้ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นย่านร้านค้าที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ค่ะ นอกจากจะได้ช้อปปิ้งแล้วยังจะได้กินของอร่อยๆที่อาจจะหาทานได้ที่แค่วัดเซนโซจิเท่านั้นด้วยนะคะ ใครที่มาวัดนี้แล้วต้องไม่พลาดที่จะมาย่านนี้เลยค่ะ
วิธีการเดินทาง
การเดินทางมาวัดนั้นง่ายมากๆเลยค่ะ สถานีที่อยู่ใกล้ที่สุดคือสถานีอาซากุสะ (Asakusa) ของรถไฟใต้ดินสายกินซ่า (Ginza) และสายโทบุ (Tobu Sky tree) ออกมาแล้วเดิน 5 นาที นอกจากนี้ยังมีสถานีที่อยู่ห่างออกไปอีกหน่อยคือ สถานีอาซากุสะ (Asakusa) ของรถไฟใต้ดินสายโทเออาซากุสะ (Toei-Asakusa) และสายซึคุบะเอ็กส์เพรส (Tsukuba Express) ซึ่งจะใช้เวลาเดินประมาณ 8-10 นาทีค่ะ
เวลาทำการและค่าเข้าชมสถานที่
ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี
เวลาเปิด-ปิด: 6:00 – 17:00 น.
6:00 – 16:30 น (ตุลาคม – มีนาคม)
วันปิดทำการ: เปิดทุกวัน
สรุป
วัดเซนโซจิ หรือ วัดอาซากุสะ เป็นวัดที่มีความสำคัญและเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโตเกียวเลยก็ว่่าได้ค่ะ สำหรับใครที่มาเที่ยวเมืองโตเกียวต้องไม่พลาดที่จะมาเที่ยวที่วัดนี้ หรือ มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองกันนะคะ สำหรับท่านใดที่สนใจทัวร์โตเกียว เลิฟลี่สไมล์ทัวร์มีโปรแกรมทัวร์ให้เลือกหลากหลายโปรแกรมเลยค่ะ สามารถแอดไลน์หรือโทรสอบถามเพิ่มเติมได้เลยนะคะ